วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2555

ถนนสายนี้ หัวใจไม่เคยลืม 3 (Always Sunset on Third Street 3)

ชื่อภาษาไทย : ถนนสายนี้ หัวใจไม่เคยลืม 3 (Always Sunset on Third Street 3) จัดจำหน่ายโดย : มงคลซีเนม่า วันที่เข้าฉาย : 19 เมษายน 2555
ในปี 1964 เมื่อโตเกียวกำลังจะเป็นเจ้าภาพในการแข่งขันโอลิมปิค อาคารบ้านเรือนและระบบคมนาคมก็ถูกสร้างอย่างรวดเร็ว บรรยากาศของความตื่นเต้นอบอวลไปมั่วทั้งเมือง ช่วงกลางแห่งการเปลี่ยนแปลงและการดิ้นรนของชุมชนในถนนสายสามก็ดำเนินต่อไปย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งก็มีสีสันและเข้มข้นไม่เสื่อมคลาย นักเขียนนิยาย เรียวโนะสุเกะ ซากาวะ (ฮิเดทากะ โยชิโอกะ) แต่งงานกับ ฮิโรมิ (โคยูกิ) และมีชีวิตที่มีความสุขกับ จุนโนสุเกะ (เคนตะ ซึกะ) เด็กผู้ชายที่เขารับเลี้ยงดูตั้งแต่ภาคแรก ที่ตอนนี้เข้าเรียนในชั้นมัธยมแล้ว ร้านขนมของ เรียวโนะสุเกะ ได้กลายเป็นร้านอาหารขนาดเล็กที่ ฮิโรมิ ดูแลจัดการ ซึ่งเธอเองก็มีข่าวดีเมื่อพบว่าตั้งท้อง และครอบครัวซากาวะก็พร้อมที่จะรับสมาชิกใหม่ อย่างไรก็ตาม เรียวโนะสุเกะ ที่เขียนนิยายชุดให้นิตยสาร Adventure Boys Book อย่างต่อเนื่อง ต้องเผชิญหน้ากับนิยมที่ถดถอยจากนักเขียนหน้าใหม่ และทำให้เขาต้องพบกับทางตัน ในขณะเดียวกัน โนริฟูมิ ซูซูกิ (ชินอิจิ สึสึมิ), ภรรยาของเขา โทโมอิ (ฮิโรโกะ ยากุชิมารุ), ลูกชายคนเดียว อิปเป (คาซุกิ โคชิมิซึ) และลูกจ้างสาวที่อยู่บ้านเดียวกัน มัตสึโกะ โฮชิโนะ (มากิ โฮริคิตะ) ก็เริ่มที่จะขยายกิจการอู่ซ่อมรถ มัตสึโกะ ได้กลายเป็นหัวหน้าและเป็นคนที่ขาดไม่ได้ของ ซูซูกิ ออโต้ แต่ทุกเช้าเธอก็จะแต่งหน้าทำผม เพื่อออกไปเจอกับคุณหมอหนุ่ม โคทาโร่ คิคุชิ (มิไร โมริยาม่า) ที่ผ่านมาแถวถนนสายสามเพื่อไปทำงานทุกวัน มัตสึโกะ ใฝ่ฝันที่จะลงหลักปักฐานและใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับเขา โอลิมปิกฤดูร้อน ปี 1964 ถือเป็นฉากหลังของเรื่องราวใหม่ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของแต่ละตัวละคร ซึ่งเราคุ้นเคยและหลงรักบนถนนสายสาม เมื่อผู้คนที่อาศัยอยู่ในชุมชนแห่งนี้ ต่างก็มีชีวิตที่เต็มไปด้วยเรื่องราวและเหตุการณ์ แต่ก็มีใครบางคนก็กำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนที่สำคัญในชีวิต...
Read more »

Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ

ชื่อภาษาไทย : Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ จัดจำหน่ายโดย : สหมงคลฟิล์ม วันที่เข้าฉาย : 19 เมษายน 2555
"บ้าน" ที่แห่งการเกิด เติบโต และ ลาจาก ที่ที่รวมทุกเรื่องราวแห่งความทรงจำ ที่ที่มีคำสัญญามากมายให้หวนกลับมา และสำหรับพวกเขาเหล่านี้ "เชียงใหม่" คือ "บ้าน" ที่ที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่ได้กลับมา คืนสุดท้ายก่อนจบจากโรงเรียน "เน" (จุฑาวุฒิ ภัทรกำพล) เลือกใช้วันสุดท้ายของชีวิต นักเรียน ม.6 เก็บทุกเรื่องราวความทรงจำลงบนภาพถ่าย โดยไม่ได้คิดว่าจะมีใครยังอยู่ที่โรงเรียน จนกระทั่งเขาได้พบกับรุ่นน้อง ม.3 จอมกวน "บีม" (กิตติศักดิ์ ปฐมบูรณา) นักกีฬาบาสของโรงเรียน ที่ย่องมาขอภาพถ่ายสาวสวยในฝันที่ตัวเองแอบชอบจากช่างกล้องมือหนึ่งในโรงเรียนอย่างเขา มิตรภาพของรุ่นพี่-รุ่นน้องที่เกิดขึ้นในค่ำคืนสุดท้ายก่อนจบการศึกษาในสถานที่ที่เป็นเสมือนบ้านหลังที่ 2 ของเด็กทุกคน กับบทสนทนาเรื่องราวต่างๆของช่วงชีวิตที่ผ่านมาในอดีต ทำให้มีอะไรบางอย่างที่เชื่อมถึงกันเกิดขึ้น ในวันที่ "บัวจัน" (เพ็ญพักตร์ ศิริกุล) ต้องสูญเสียคนรักไปอย่างไม่มีวันกลับ ทุกสิ่งในบ้านเธอจึงต้องกลายเป็นผู้ดูแลทุกอย่าง ทั้งบ้าน คนงาน หนี้สิน รวมถึงความรักของหลาน 2 คน "เหว่า" (ณัฐพงษ์ อรุณเนตร์) กับ "ชมภู่" (ทิพปภา แซ่โง้ว) และกระดาษแผ่นเล็กๆที่สามีเขียนไว้ดูต่างหน้า กับความทรงจำดีๆที่ยังอยู่ คำสัญญาที่ให้กันไว้ว่าเราจะอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า ยิ่งเสมือนเป็นสิ่งตอกย้ำตลอดเวลา บัวจันจะผ่านพ้นและลืมรักครั้งนี้ได้อย่างไร ก่อนงานวิวาห์จะเริ่มต้นระหว่าง "เสี่ยเล้ง" (เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์) นักธุรกิจหนุ่มชาวใต้ และ "ปรียา" (ศิรพันธ์ วัฒนจินดา) ว่าที่เจ้าสาว ที่กลับมาจัดงานแต่งงานที่เชียงใหม่ เพื่อเติมเต็มความฝันให้สวยหรูสมใจ ณ บ้านเกิด โดยมีน้องชาย "เลี่ยม" (วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงษ์กุล) และ "น้าอร" (พุทธชาด พงศ์สุชาติ)อาสาเป็นผู้เนรมิตงานแต่งให้สมดังใจของเธอ แต่การกลับมาบ้านครั้งนี้ ทำให้ปรียาได้พบกับ "พี่เป๊ก" (สุพจน์ จันทร์เจริญ) อดีตคนรักครั้งแรกของเธอ ที่เขามาพร้อมกับการทวงถามสัญญาและความรู้สึกดีๆที่เคยมีให้กัน เมื่อความรัก ความทรงจำย้อนกลับมาอีกครั้ง ปรียาจะตัดสินใจเลือกรักและมีความสุขกับใครก่อนวันแต่งงานของเธอครั้งนี้
Read more »

บ่วง

ผลิตโดย : บริษัท บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น จำกัด บทประพันธ์โดย : จุลลดา ภักดีภูมินทร์ บทโทรทัศน์โดย : นันทวรรณ รุ่งวงศ์พาณิชย์ กำกับการแสดงโดย : ภวัต พนังคศิริ ออกอากาศทางไทยทีวีสีช่อง 3 ทุกวันพุธ-พฤหัสบดี
ณ ต้นกำเนิดของชีวิต อาจบรรจบกับจุดสุดท้ายของอวสาน เป็นวัฏฏะที่เหล่ามนุษย์ต้องเวียนว่าย และเป็น “ บ่วง ” คล้องผูกพันกับกิเลสตัณหา ไม่ว่าบ่วงบุญหรือบ่วงกรรม ต่างก็คล้องชีวิตให้ต้องวนเวียนเกิดขึ้นและจบลง หน่วงให้ต้องทุกข์ทนในวังวนแห่งโลกและชีวิตอย่างมิรู้จบสิ้น “ศามน” (พัชฏะ นามปาน) หนุ่มวัยทำงาน ตำแหน่งหน้าที่การงานดี เป็นถึงหัวหน้าฝ่ายบริษัทคอมพิวเตอร์ยักษ์ใหญ่ในสหรัฐอเมริกาทั้งๆ ที่ยังอายุไม่มาก เขาเกิดที่เมืองไทยแต่ไปเติบโตที่อเมริกา เพราะต้องติดตามพ่อที่ทำงานเป็นทูตอยู่ที่นั่น ศามนเกิดมาพร้อมด้วยรูปสมบัติ คุณสมบัติ และทรัพย์สมบัติอย่างที่สาวๆ หลายคนพึงพอใจ แต่เขาเลือกแต่งงานกับ “รัมภา” (ศรีริต้า เจนเซ่น) สาวสวยที่เคยเป็นเด็กกำพร้ามาก่อน แต่มีคนใจบุญรับเธอมาอุปการะเลี้ยงดูเป็นอย่างดี รัมภาเป็นคนเพียบพร้อมทั้งกิริยามารยาทคู่ควรกับศามน สองคนพบรักกันที่อเมริกา และตัดสินใจแต่งงานกันจนมีลูกฝาแฝดชาย-หญิงที่น่ารักวัย 4 ขวบชื่อ “ศรุท” หรือ “รัตตี้” (ด.ช. ภัทรกร ประเสริฐเศรษฐ) และ “ศรัย” หรือ “ไลล่า” (ด.ญ. ชินารดี อนุพงษ์ภิชาติ) ครอบครัวนี้ถือว่าเป็นครอบครัวรุ่นใหม่ที่อบอุ่นและคอยเติมเต็มให้กันอย่างมีความสุข วันหนึ่งศามนได้รับการติดต่อจากญาติให้เดินทางกลับกรุงเทพฯโดยด่วน เพื่อมาร่วมงานศพคุณยายทวด และมารับมรดกตกทอดของตระกูลที่บ้านสวนเก่าหลังใหญ่แถบชานเมือง ซึ่งมีเนื้อที่เกือบห้าไร่ เขาตัดสินใจย้ายครอบครัวกลับมาตั้งรกรากที่นี่ และทำเรื่องย้ายงานจากบริษัทแม่ที่อเมริกามาประจำสาขาในไทย เพื่อมาอยู่ที่บ้านสวนหลังนี้กับครอบครัว โดยให้รัมภาเป็นแม่บ้านอยู่บ้านคอยดูแลลูกๆ ที่บ้านสวนแห่งนี้คนภายนอกมองว่าบรรยากาศน่ากลัวเพราะต้นไม้รกครึ้ม ไม่มีใครพักอาศัยอยู่เลย นอกจาก “ตาหล้า” (ชุมพร เทพพิทักษ์) “ยายคำ” (พิมพ์แข กุญชร ณ อยุธยา) และ “บุญสืบ” (ธงธง มกจ๊ก) ลูกชายจอมทะเล้น ข้าเก่าของคุณทวดที่คอยดูแลทำความสะอาดบ้าน ศามนไม่รู้สึกกลัวที่นี่เหมือนคนอื่น เพราะเขาเคยวิ่งเล่นมาตั้งแต่เล็กๆ แต่สำหรับรัมภาความรู้สึกแวบแรกตั้งแต่เธอก้าวเข้ามาที่บ้านสวนแห่งนี้ เธอรู้สึกว่าที่นี่ดูวังเวงและชวนขนลุกอย่างบอกไม่ถูก ที่เพิ่มความน่ากลัวเข้าไปอีกคือ หลังจากที่คุณทวดเสียชีวิตลง ศพของท่านยังคงบรรจุใส่โลงตั้งเอาไว้บนเรือนหลังใหญ่เพื่อรอการเผา รัมภามองรูปหน้าศพรู้สึกว่าคุณทวดมีแววตาแข็งกร้าว ดุดัน แต่เมื่อมองนานๆ เหมือนอุปทานว่าเห็นรอยยิ้มผุดขึ้นจากมุมปากของท่าน เมื่อมาถึงที่นี่ในคืนแรก มีเหตุการณ์ลึกลับที่ทำให้รัมภาต้องอกสั่นขวัญหายเกิดขึ้น ลูกแฝดของเธอหายตัวไปจากห้องนอนที่เรือนใหญ่อย่างไร้เงื่อนงำ คนทั้งบ้านช่วยกันตามหาตัวเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ยายคำคนดูแลบ้านบอกศามนและรัมภาว่า เด็กๆ คงถูกผีลักซ่อน ยายคำเลยให้ทั้งคู่ไปทำพิธีจุดธูปกำใหญ่หน้าโลงศพคุณทวด เพื่อให้ท่านช่วยดลใจให้เจอเด็กๆ ยายคำเชื่อว่าเด็กแฝดทั้งสองเป็นหลานแท้ๆ ของท่าน ท่านคงไม่น่ามาหยอกล้อแบบนี้ เมื่อปักธูปเสร็จ ทุกคนจึงได้ยินเสียงเด็กๆ และเจอตัวเด็กๆ เมื่อตอนใกล้เช้าในที่สุด ไม่เพียงเท่านั้น รัมภามักหูแว่วได้ยินเสียงเพลงกล่อมเด็กอันเยือกเย็น ในขณะที่ศามนกลับหูแว่วได้ยินเสียงท่องมนตร์ดำ ที่แสนเข้มขลังและศักดิ์สิทธิ์ของหญิงคนหนึ่งที่คุ้นหู ทั้งสองต่างเก็บนิมิตเสียงอันแตกต่างเหล่านี้ไว้ไม่บอกกันและกัน รัตตี้และไลล่าเล่าให้พ่อกับแม่ฟังว่า ทั้งสองคนออกไปหาขุมทรัพย์มา ซึ่งจริงๆ แล้วพวกเขาถูกใครคนหนึ่งปลุกให้ตื่นขึ้นกลางดึก และสะกดให้เดินออกจากห้องนอนไปที่เรือนหลังเล็กท้ายสวน ระหว่างทางได้พบกับลูกหมาสีดำตัวหนึ่ง เด็กๆ เหมือนถูกสะกดให้เดินตามลูกหมาตัวนั้นไป มันนำทางให้ทั้งคู่เดินออกมาที่ศาลาท่าน้ำ ลูกหมาตัวนั้นค่อยๆ ตะกายลงไปในน้ำและจมหายไปต่อหน้าต่อตาทั้งสองคน ในตอนนั้นเด็กแฝดได้ยินเสียงหญิงชราคนหนึ่งกระซิบข้างหูให้ลงไปในน้ำเพื่อช่วยลูกหมา แต่ที่ริมน้ำฝั่งตรงข้ามพวกเขากลับเห็นหญิงชราหน้าตาใจดีอีกคนโบกมือห้ามไม่ให้ลงไป เด็กๆ เล่าว่าในตอนนั้น พวกเขาได้ยินเสียงที่ผู้ใหญ่ตะโกนตามหา จึงไม่คิดลงน้ำตามลูกหมาตัวนั้นไป แต่ไม่รู้ทำไมพวกเขาถึงไม่สามารถขานตอบได้ ตาหล้าและยายคำบอกศามนและรัมภาว่า คุณทวดคงคิดพาโหลนออกไปเที่ยวจึงดลใจให้ผู้ใหญ่มองไม่เห็นตัวเด็กๆ หลังจากที่คุณทวดเสียชีวิตลง ตาหล้าและยายคำเคยเห็นร่างคุณทวดมานั่งเล่นที่ชานบ้านบ่อยๆ แต่ท่านมาดีเหมือนมาช่วยปกปักรักษาที่นี่ เมื่อทุกคนคุยเรื่องคุณทวดทีไรมักได้กลิ่นธูปหอมลอยมาเสมอ หลังจากที่ศามนและรัมภาพบลูกแฝดแล้ว รัมภาเหมือนหูแว่วได้ยินเสียงหญิงชราหัวเราะเย้ยหยันเรื่องที่ลูกๆ ของเธอหายตัวไปจนเกือบจะจมน้ำตาย เธอรู้สึกกลัวมากแต่ไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง ศามนไปทำงานรับตำแหน่งผู้จัดการในบริษัทคอมพิวเตอร์ข้ามชาติ โดยมี “อนุกูล” (ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ) เป็นรองผู้จัดการ มี “วรรณศิกา” (ปาจรีย์ ณ นคร) เป็นเลขา และมี “พัชนี” (เอสเธอร์ สุปรีย์ลีลา) พนักงานใหม่เข้ามาเป็นผู้ช่วยวรรณศิกา อนุกูลเป็นเพลย์บอยหนุ่มรูปงาม ท่าทางกรุ้มกริ่มกับสาวๆ จนถูกพัชนีเตือนให้รู้โทษของการผิดศีลห้า นั่นทำให้อนุกูลรู้สึกขำขันกับพนักงานใหม่ สาวสวยแต่ชอบทำตัวเป็นแม่ชีอย่างพัชนี จนต้องคอยยั่วโมโหและแกล้งพัชนีอยู่บ่อยๆ วันนั้น อนุกูล วรรณศิกา และพัชนี ติดตามศามนเข้ามาเยี่ยมรัมภาที่บ้านเพื่อช่วยเหลือในฐานะเพื่อนร่วมงานที่ดี พัชนีมีกล้องติดมือมาด้วยจึงถ่ายภาพบ้านของศามนตามมุมต่างๆ ไว้ เมื่อพัชนีกลับบ้านเอาให้ “ลุงช่วง” (เผ่าทอง ทองเจือ) ดู ลุงช่วงนั่งทางในพบว่าบ้านหลังใหญ่นั้นมีบ้านหลังเล็กแทรกตัวอยู่ ห่างกันแค่คลองเล็กๆ คั่น ลุงช่วงรีบบอกให้พัชนีติดต่อศามน อย่าให้ใครไปเปิดบ้านหลังเล็ก มิฉะนั้นมนต์ดำของวิญญาณร้ายจะออกมา แต่ไม่ทันการเสียแล้ว ศามนออกไปสำรวจท้ายสวนตามทางที่เด็กๆ บอก จนไปเจอเรือนหลังเล็กสกปรกรกร้างริมน้ำและถูกล็อกกุญแจแน่นหนา ศามนงัดกุญแจที่มีผ้ายันต์ปิดอยู่ออก ศามนเข้าไปข้างใน เสียงมนต์ดำ เสียงโซ่ที่ถูกลากไปตามพื้น และเสียงกรีดร้องอย่างทรมานดังไปทั่วจนศามนเป็นลมล้มลง ก่อนจะตื่นขึ้นมากลายเป็นศามนคนใหม่ที่เฉยชาและขี้หงุดหงิด ศามนสงสัยว่าทำไมห้องที่เรือนหลังเล็กต้องมีลูกกรงแน่นหนา จนมารู้ทีหลังว่าที่นี่เป็นเรือนที่คุณทวดหวงมากไม่อยากให้ใครเข้าไปยุ่ง ศามนชอบบรรยากาศที่เรือนหลังเล็กมาก ขณะที่รัมภารู้สึกอึดอัดเมื่ออยู่ที่นี่ ศามนไม่คิดนอนที่เรือนใหญ่ที่ตั้งศพคุณทวดอยู่ตั้งแต่แรก เขาจึงสั่งตาหล้าให้ซ่อมแซมและปรับปรุงเรือนหลังนี้เสียใหม่ เพื่อทำเป็นที่พักแทน จากเรือนรกร้างเมื่อตกแต่งใหม่ก็กลายเป็นเรือนหลังเล็กสีขาวน่าอยู่ รัมภาลงทุนทำสระว่ายน้ำเล็กๆ เพื่อให้เด็กๆ ว่ายน้ำเล่นกัน เพราะไม่อยากให้เด็กๆ ลงไปเล่นน้ำที่บึงน้ำหลังบ้าน เมื่อครอบครัวของศามนย้ายมาอยู่เรือนหลังเล็ก รัมภาไม่เคยนอนหลับสนิทสักคืน เธอได้ยินแต่เสียงหัวเราะเย้ยหยันของหญิงคนหนึ่งแว่วเข้าหูตลอดคืน อีกทั้งมักฝันเห็นผู้หญิงนุ่งโจงกระเบนสีดำ สวมเสื้อคอกว้างแขนกุดเสมอไหล่ ผมยาวระต้นคอรุ่มร่าม ดูเหมือนผู้หญิงในฝันจะยิ้ม แต่รอยยิ้มแฝงไว้ด้วยความน่ากลัว ความฝันซ้ำๆ ซากๆ ถึงหญิงชราคนนี้ทำให้เธอผวาตื่นยามดึกอยู่บ่อยๆ เธอตัดสินใจบอกเรื่องนี้กับศามนและขอย้ายบ้านไปอยู่ที่อื่น แต่ศามนกลับคิดว่าเธอหูฝาดและคิดมากไปเอง รัมภาจึงนำความฝันประหลาดนี้ไปเล่าให้ยายคำฟัง เพราะเธอนึกว่าผู้หญิงที่ฝันเห็นเป็นคุณทวด ยายคำกลับบอกว่าลักษณะแบบนั้นตามที่เธอเล่าให้ฟังไม่ใช่คุณทวดอย่างแน่นอน เพราะคุณทวดไม่เคยไว้ผมยาวรุ่มร่าม ท่านจะตัดผมทรงพุ่มๆ และเกล้ามวยเท่านั้น กลายเป็นความสงสัยของรัมภาว่าคนที่เธอฝันเจอคือใคร จริงๆ แล้วทั้งเรือนหลังใหญ่และหลังเล็กแห่งนี้ต่างมีความหลัง แต่ไม่มีใครรู้ที่มาที่ไปเพราะคนเก่าแก่ของที่นี่เสียชีวิตไปหมดแล้ว คนที่พอจะรู้ข้อมูลของบ้านสวนแห่งนี้เห็นจะมีเพียง “ยายเพ็ญ” หญิงชราวัยเก้าสิบกว่าๆ เพื่อนบ้านที่หลงๆ ลืมๆ เลอะเลือน ยายเพ็ญอาศัยอยู่ละแวกนี้มานาน เคยเข้ามาที่เรือนหลังใหญ่เพื่อคอยรับใช้คุณทวดบ่อยๆ ยายเพ็ญมีหลานสาวเปรี้ยวจี๊ดแต่งตัวจัด หน้าตาคมขำชื่อ “เดือนแรม” หรือ “คุณนายเดือน” (สุคนธวา เกิดนิมิตร) ตามที่คนละแวกนี้นิยมเรียก เธออายุมากกว่ารัมภา 2 ปี แต่มีนิสัยแตกต่างจากรัมภาโดยสิ้นเชิง คุณนายเดือนนับเป็นเศรษฐีนีในละแวกนี้ เพราะเธอได้รับมรดกมากมายจากการขายตึกแถวหลังจากที่แม่ของเธอเสียชีวิตลง เดือนแรมเป็นหญิงหม้ายสามีทิ้ง ผู้ชายที่เข้ามาในชีวิตเธอรักเงินมากกว่าตัวเธอ คบกันได้ไม่นานก็ทิ้งเธอไปหมด ปัจจุบันจึงมีแต่สาวใช้จอมกระแดะปัญญาน้อยนิดชื่อ “ทองดี” (แอน เนเจอร์กี๊ฟ) เป็นผู้ติดตาม ด้วยความเป็นคนอยากรู้อยากเห็นของเดือนแรม เมื่อมีเพื่อนบ้านมาอยู่ใหม่อย่างครอบครัวของศามนและรัมภา เธอก็อดไม่ได้ที่จะแวะมาเยี่ยมเยียนเพื่อทำความรู้จัก และเล่าเรื่องราวต่างๆ นานาตามที่เคยได้ยินมาจากยายเพ็ญเกี่ยวกับบ้านสวนแห่งนี้ให้รัมภาฟัง แรกๆ รัมภาก็รู้สึกดีที่มีเพื่อนคุย แต่บ่อยๆ เข้าเธอก็เริ่มรำคาญ เพราะเดือนแรมเป็นคนพูดมากและไม่มีกาลเทศะ เดือนแรมเล่าให้รัมภาฟังว่าเคยได้ยินมาว่า ในอดีตเรือนหลังเล็กแห่งนี้เคยมีคนบ้าถูกขังอยู่ รัมภาจึงให้เดือนแรมพาไปหายายเพ็ญ เพราะอยากรู้ที่มาที่ไปของบ้านหลังนี้ เดือนแรมเข้ามาพัวพันกับครอบครัวนี้บ่อยๆ จนเริ่มคุ้นเคย วันหนึ่งรัมภาฝากให้เดือนแรมเฝ้าบ้านให้ เดือนแรมเผลอนอนกลางวันและเคลิ้มเห็นผู้หญิงคนเดียวกับที่รัมภาเคยฝันเห็น คือหญิงสาวคมขำ ผมประบ่าเหน็บหูเรียบร้อย สวมเสื้อคอกลมแขนกุด นุ่งผ้าโจงสีสวยงาม ผู้หญิงคนนั้นยิ้มให้เดือนแรม และกระซิบข้างหูเธอซ้ำๆ ว่า “จำเอาไว้ ฉันจะช่วยแก” ในฝันจากภาพหญิงคมขำ ผมประบ่าที่เห็นตอนแรก ค่อยๆ กลายเป็นผู้หญิงผมรุ่ยร่าย ผ้าโจงกลายเป็นสีดำ แววตาน่ากลัวเหมือนคนบ้า เธอจึงสะดุ้งตื่นเพราะนึกว่าโดนผีอำ และเล่าเรื่องนี้ให้รัมภาฟัง รัมภาตกใจที่เดือนแรมฝันเห็นผู้หญิงคนเดียวกับที่เธอเคยฝัน เธอเล่าเรื่องนี้ให้ศามนฟังอีกครั้ง เขายังคงเชื่อว่าเธอคิดมากไปเองเหมือนเดิม เดือนแรมไปมาหาสู่ที่นี่บ่อยครั้ง จนวันหนึ่งศามนเลิกงานเร็วกว่าปกติ เขาได้มาเจอเดือนแรมที่มาช่วยเฝ้าบ้านให้โดยบังเอิญ ครั้งแรกที่เดือนแรมเจอเขา เธอรู้สึกพึงพอใจในตัวศามน ส่วนศามนไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรกับเดือนแรม แต่ทุกครั้งที่อยู่ใกล้เดือนแรม เขามักได้ยินเสียงท่องมนต์ของใครคนหนึ่ง และมักเห็นเงาหญิงสวย แววตายั่วยวนคนหนึ่งซ้อนอยู่ในตัวเดือนแรม คืนหนึ่งรัมภาเคลิ้มฝัน เห็นผู้หญิงคมขำผมประบ่าคนเดิม ท่าทางเกรี้ยวกราดดุดันชะโงกหน้ามาหา และเอานิ้วจิ้มหน้าผากเธอ สักพักเธอพบว่าตัวเองลอยละลิ่วไปยืนกลางสะพานหน้าบ้าน และเห็นผู้หญิงอีกคนที่มีใบหน้าเศร้า และกลายเป็นรูปคุณทวดหน้าศพท่าทางเกรี้ยวกราดวิ่งตาม ทำท่าจะตะครุบตัวเธอ และร่างนั้นก็หายวับไป รัมภาสะดุ้งตื่นเล่าความฝันให้ศามนฟัง เขาก็รับฟังแต่รู้สึกเอือมระอาและหนักใจ ที่รัมภามีอาการจิตหลอนมากขึ้นทุกวัน ศามนสังเกตว่าตั้งแต่ครอบครัวของเขาย้ายมาอยู่ที่นี่ รัมภามีอาการผิดไปจากครั้งที่อยู่ด้วยกันที่เมืองนอก เธอมักหวาดผวากับบางสิ่งบางอย่าง แม้แต่เมื่อเขาไปยืนใกล้ๆ เธอยังตกใจสะดุ้งจนตัวลอย ศามนอยากพาเธอหลบพ้นจากบรรยากาศที่บ้านสวน จึงให้วรรณศิกาช่วยเป็นธุระพารัมภาพาลูกๆ ไปพักผ่อนจิตใจที่หัวหิน เพื่อให้เธอสบายใจขึ้น ส่วนตัวเขาเองติดงานไม่สามารถไปกับครอบครัวได้ รัมภาเล่าความฝันให้วรรณศิกาฟัง วรรณศิกาเชื่อตามที่รัมภาเล่า และพาเธอไปรู้จักกับลุงช่วง ลุงของพัชนี ที่เป็นคนธรรมะธรรมโมนั่งสมาธิมานาน สามารถนั่งทางในเห็นในสิ่งที่คนทั่วไปไม่อาจเห็นได้ ลุงช่วงบอกความจริงที่น่ากลัวกับรัมภาว่า บ้านสวนของเธอทั้งเรือนใหญ่และเรือนเล็กต่างมีวิญญาณเป็นหญิงแก่สองคนสิงสถิตอยู่ ที่เรือนหลังใหญ่มีวิญญาณดีวนเวียนอยู่ไม่ยอมไปเกิดใหม่เพราะเป็นห่วงลูกหลาน แต่ที่เรือนหลังเล็กมีวิญญาณร้ายวนเวียนอยู่เพราะต้องการจองเวรรัมภา วิญญาณร้ายเป็นโอปปาติกะที่มีความพยาบาทอาฆาตแรงมาก จนเป็นบ่วงร้อยรัดเธอไว้ไม่ยอมไปผุดไปเกิด แต่ลุงช่วงไม่สามารถติดต่อกับวิญญาณร้ายได้ จึงไม่รู้ว่าเธอต้องการจองเวรรัมภาเรื่องอะไร ลุงช่วงบอกว่าพลังของวิญญาณร้ายไม่ยอมรับบุญกุศลหรือคำแผ่เมตตาที่รัมภาส่งไปให้ เธอไม่ยอมอโหสิกรรมและไม่ยอมพ้นจากบ่วงกรรมที่เคยแค้นไว้แต่ชาติปางก่อน ลุงช่วงแนะนำให้รัมภาหมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ทั้งแก่วิญญาณทั้งสองบ้าน เพื่อให้เลิกจองเวรจองกรรมต่อกัน เพราะกรรมของใครก็ของคนนั้น คนอื่นช่วยไม่ได้นอกจากต้องพยายามหาทางช่วยตัวเอง รัมภาจึงนิมนต์เจ้าอาวาสวัดใกล้บ้านมาทำพิธีบังสุกุลที่เรือนหลังใหญ่ แต่ก็ไม่เป็นผล เธอยังคงฝันร้าย และพบกับสิ่งลี้ลับแปลกๆ ที่บ้านสวนแห่งนี้ตลอด หลังๆ เดือนแรมเริ่มเข้ามาตีสนิทและพยายามให้ท่าศามนอยู่บ่อยๆ ในขณะเดียวกันรัมภาเริ่มมีอาการหวาดผวาหนัก ไม่สามารถหลับนอนกับศามน และเริ่มติดยากล่อมประสาท ศามนยิ่งเครียดและเริ่มหวั่นไหวต่อเดือนแรม อนุกูลรู้สึกสงสารรัมภา เขาพาตัวเองเข้ามาแทนที่ศามน เป็นเพื่อนสนิทรัมภา และทำตัวทดแทนพ่อให้เด็กแฝด โดยแอบหวังว่า จะทำให้ศามนหึงและกลับมาเป็นครอบครัว แต่ผลออกมาตรงกันข้าม ศามนยิ่งรังเกียจรัมภาจนถึงขั้นทะเลาะกัน และยังทำให้ความสัมพันธ์ของอนุกูลเองและพัชนีที่เพิ่งเริ่มต้น ง่อนแง่น ระส่ำระสาย ในที่สุดศามนอดใจไม่ไหวแอบมีอะไรกับเดือนแรม เมื่อวันที่รัมภาและลูกๆ อยู่หัวหินกับวรรณศิกา เดือนแรมร้อนแรงและมีเสน่ห์ดึงดูดให้เขาสามารถลืมเมียและลูกได้ ทุกครั้งที่เขามีอะไรกับเธอ เขาจะรู้สึกว่าทั้งตัวเขาและเธอไม่ใช่ตัวเอง แต่กลายเป็นคนอื่น โดยเฉพาะเมื่อเขาอยู่ใกล้เดือนแรม เขามักได้กลิ่นแป้งร่ำน้ำอบไทยจากตัวของเธอเสมอ เมื่ออยู่กันสองต่อสองที่เรือนเล็ก ศามนมักได้ยินเสียงกระซิบแว่วข้างหูเรียกเขาว่า “คุณพระ” เสียงนั้นทำให้เขารู้สึกเหมือนมีใครอีกคนแทรกอยู่ในตัวเอง และเมื่อเขาแวบนึกถึงลูกเมีย ความรู้สึกนั้นจะเปลี่ยนเป็นความเกลียดชังลูกเมียในทันที เขารู้สึกเหมือนกำลังตกอยู่ในภวังค์ของอำนาจอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ถ้าศามนกลับไปที่เรือนใหญ่หรืออยู่ต่อหน้ารูปคุณทวด เขาจะรู้สึกประหลาดเหมือนกับตัวเองจะแยกเป็นสองร่าง อึดอัดจนอยากเป็นลม แต่สำหรับเดือนแรม ทุกครั้งที่ได้มานอนที่เรือนหลังเล็ก เธอมักรู้สึกเคลิ้มเห็นผู้หญิงกระโจงหม่นคนเดิมมายืนข้างเตียงเสมอ พร้อมเสียงแว่วว่าให้เธออยู่ที่นี่เพื่อช่วยแก้แค้นเหมือนเดิม วรรณศิกา อนุกูล และพัชนีเข้ามาช่วยรัมภา โดยวางแผนให้ศามนดื่มน้ำมนต์ที่ลุงช่วงนำมาให้ ศามนเป็นลมทันที และกลับมาเป็นศามนคนเดิม มีท่าทีเมินเฉยกับเดือนแรม คืนนั้นครอบครัวศามนได้ยินเสียงกรีดร้องดังต่อเนื่อง เหมือนสัตว์ถูกทำร้าย ดังทั่วเรือนเล็ก วิญญาณร้ายไม่หยุดเพียงแค่นั้น เสียงกระซิบยามค่ำคืนขณะฝันพาเดือนแรมไปพบกับหมอผีคนหนึ่ง ชื่อ “อาจารย์ชู” (ชาติชาย งามสรรพ์) อาจารย์ชูจัดการทำเสน่ห์ให้ศามนและเดือนแรมกลับมารักกันอีกครั้ง คราวนี้ศามนดูกราดเกรี้ยวถึงกับดุและรำคาญลูกแฝดของตน อนุกูลจึงพาเด็กแฝดไปอยู่บ้านวรรณศิกา ไลล่าทำใจไม่ได้ ด้วยความคิดถึงพ่อจึงชวนรัสตี้หนีออกจากบ้านวรรณศิกา ในที่สุดเด็กแฝดหลงทาง หายไปนอนเร่ร่อนอยู่ริมถนน โชคดีที่พัชนีและอนุกูลไปพบก่อนจะได้รับอันตราย ลุงช่วงเห็นว่าไม่ได้การ จึงมาที่บ้านสวนเพื่อค้นหาคุณไสยที่แอบซ่อนอยู่ แต่เมื่อลุงช่วงเข้าไปในเรือนเล็กก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ลุงช่วงเกิดลื่นหกล้มเหมือนมีใครผลัก ลุงช่วงขาหักต้องไปนอนอยู่ที่โรงพยาบาล ไม่สามารถมาช่วยรัมภาได้อีก ความหลงในมนต์ดำของเดือนแรม มีแต่ฉุดให้ศามนเปลี่ยนเป็นคนละคนและทำตัวตกต่ำลง เขาถึงกับขอเลิกกับรัมภา และทิ้งลูกๆ ไปเพราะแรงยุของเดือนแรม เขามัวแต่ขลุกอยู่กับเดือนแรมจนไม่สนใจการงาน และโดนไล่ออกในที่สุด เพียงแค่ไม่กี่เดือนที่ศามนได้รู้จักกับเดือนแรม เขาได้ตกลงไปในห้วงเหวของราคะที่กลายเป็นบ่วงคล้องเขาเอาไว้ มโนธรรมและความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเขาถูกฝังให้จมหายไป และถูกกลบเอาไว้อย่างแน่นหนาด้วยกิเลสราคะที่เดือนแรมก่อขึ้น เมื่อรัมภารู้ความจริงว่าศามนแอบคบกับเดือนแรม เธอเสียใจมากถึงกับขนของย้ายออกมาจากเรือนหลังเล็ก และพาลูกแฝดไปฝากวรรณศิกาเลี้ยง ในขณะที่เดือนแรมขนของเข้าไปอยู่ที่เรือนหลังเล็กแทนที่เรียบร้อย รัมภาเสียใจและเครียดมาก อนุกูลดูแลรัมภาและเด็กทั้งสอง ความผูกพันใกล้ชิดทำให้อนุกูลเริ่มอ่อนไหวกับรัมภาด้วยใจจริงไม่ใช่แกล้ง ทำให้พัชนีเสียใจมากคิดตัดใจจากอนุกูล เมื่อนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาล รัมภาเคยฝันว่าตัวเองมาอยู่ที่เรือนหลังใหญ่ เธอได้ยินเสียงและสัมผัสพลังเร้นลับที่บอกเธอว่า “อย่ายอมแพ้ ให้สู้กับมันให้ได้” แต่บางครั้งเธอรู้สึกเหมือนว่า ตัวเองถูกอำนาจลึกลับบางอย่างคุกคามอยู่ตลอดเวลา ทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัว ฝันร้าย บางทีเธอไม่ยอมนอนหลับเพราะกลัวความฝัน จนหมอต้องให้กินยากล่อมประสาทให้เธอได้นอนหลับเพื่อลืมทุกอย่าง เมื่อเธอมารักษาตัวที่โรงพยาบาล ศามนมัวแต่กกกอดเดือนแรม ไม่เคยสนใจมาเยี่ยมเธอสักครั้ง วรรณศิกาปรึกษากับลุงช่วงว่า จะพารัมภาไปนั่งสมาธิกับ “แม่ชีนวล” ที่วัดประจำตระกูล เพื่อให้เธอฝึกนั่งสมาธิเพื่อมองเห็นกรรมในอดีต รัมภาได้รับคำแนะนำจากแม่ชีนวลว่า ให้หมั่นตั้งสมาธิ สร้างบุญกุศล แผ่เมตตา แล้วจะพบเห็นหญิงชรา 2 คนที่ฝันเห็น เพื่อจะได้รู้ความต้องการของหญิงชราทั้งสอง เธอปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเพื่อเอาชนะตัวเอง และปฏิบัติธรรมอย่างรู้แจ้งตาม จนได้รู้ความจริงในอดีตว่า… ด้วยบ่วงกรรมที่เคยผูกพันกันมาแต่ชาติก่อน รัมภาเคยเกิดเป็น “คุณชื่นกลิ่น” (ศรีริต้า เจนเซ่น) ลูกสาวของ “คุณหญิงอบเชย” (ชไมพร จตุรภุช) ซึ่งเป็นคุณทวดเจ้าของบ้านสวนแห่งนี้ ส่วนศามนสามีของเธอเคยเกิดเป็น “คุณพระภักดีบทมาลย์” (พัชฏะ นามปาน) คุณพระภักดีบทมาลย์และคุณชื่นกลิ่นรักใคร่ชอบพอกัน จนผู้ใหญ่จัดพิธีแต่งงานให้ และอยู่กินกันมาอย่างมีความสุข จนมีลูกสาวคนหนึ่งชื่อ “ชิดศรี” ซึ่งก็คือยายของศามนในชาติปัจจุบัน คุณชื่นกลิ่นเป็นลูกคนมียศถาบรรดาศักดิ์ จึงมีต้นห้องคอยดูแลรับใช้ชื่อ “นางแพง” (ศิรพันธ์ วัฒนจินดา) แพงอายุไล่เลี่ยกันกับคุณชื่นกลิ่น แต่มีนิสัยทะเยอทะยาน เธอคอยอิจฉาคุณชื่นกลิ่นที่ได้ดีกว่าตัวเองในทุกเรื่อง แพงแอบหลงรักคุณพระภักดีบทมาลย์ ตั้งแต่ตอนที่คุณพระมาดูตัวคุณชื่นกลิ่นในครั้งแรก “นางพึ่ง” (ภรผกา เสียงสมบุญ) แม่ของแพงพยายามทัดทาน แพงก็ไม่ฟัง แพงพยายามขอความช่วยเหลือจาก “นายกล้า” (ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ) คนสนิทผู้ติดตามคุณพระ นายกล้าเป็นคนจิตใจดี รักแพงด้วยความจริงใจ นายกล้าไม่ยอมช่วยแพง และยังพยายามใช้ความรักของตนเอาชนะความทะเยอทะยานของแพง ในที่สุดนายกล้าเอ่ยปากขอแพงจากคุณหญิง แต่แพงกลับปฏิเสธ เพราะหวังว่าตนจะได้เป็นเมียคุณพระ ไม่ใช่เมียคนรับใช้อย่างนายกล้า แพงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้คุณพระสนใจ แต่คุณพระกลับไม่เล่นด้วย จนในวันที่คุณชื่นกลิ่นต้องไปนอนคลอดลูกที่โรงพยาบาล คุณพระไปราชการเมากลับมา แพงจึงได้โอกาสจับคุณพระ และยอมเป็นของคุณพระในคืนนั้น เมื่อคุณชื่นกลิ่นคลอดลูกเสร็จก็กลับมาอยู่ที่เรือนใหญ่ คุณพระกลับไม่สนใจแพงเหมือนเดิม เพราะในใจยังรักภักดีต่อคุณชื่นกลิ่นเพียงคนเดียว แพงต้องกลายเป็นภรรยาลับๆ ของคุณพระที่ไม่ได้เอาออกหน้าออกตาเหมือนคุณชื่นกลิ่นเมียแต่ง แพงแค้นใจคุณชื่นกลิ่นมาก ตอนหลังแพงตั้งท้องและอยากให้คุณพระสนใจเธอคนเดียว เธอจึงไปหาหมอผีทำคุณไสยใส่คุณพระ ทำให้คุณพระหลงเธอหัวปักหัวปำ จนไม่สนใจคุณชื่นกลิ่นและลูก คุณชื่นกลิ่นต้องตรอมใจทนเลี้ยงลูกตามลำพัง ท่ามกลางความสงสารของคุณหญิงอบเชยผู้เป็นแม่ เรื่องที่แพงทำเสน่ห์รู้ถึงหูคุณหญิงอบเชย คุณหญิงต้องพาคุณพระไปหา “ท่านเจ้าคุณ” พระสงฆ์ผู้ทรงสมณศักดิ์เพื่อช่วยแก้คุณไสยที่คุณพระโดนกระทำมา หลวงพ่อเอาน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์มาให้คุณพระอาบและกิน เมื่อน้ำมนต์จากผู้ทรงศีลที่ถ่ายทอดความบริสุทธิ์ลงไปบวกกับพระพุทธคาถาในพระสูตร ก่อให้เกิดพลังอำนาจที่ช่วยขจัดมนต์ดำและความชั่วร้ายต่างๆ ออกจากตัวคุณพระ การแก้มนต์ดำในตัวคุณพระทำให้ร่างกายของคุณพระปั่นป่วนจนล้มป่วย และค่อยๆ ทรุดลง จนเมื่อวันที่คุณพระป่วยหนักเจียนตาย วาระสุดท้ายก่อนตายคุณพระมีสติคิดได้ ขอให้คุณชื่นกลิ่นอโหสิกรรมให้ และสาบานว่าขอเกิดเป็นคู่กับคุณชื่นกลิ่นไปทุกๆ ชาติ เมื่อคุณพระเสียชีวิตลง ของทำเสน่ห์ที่แพงไปทำมานั้นกลับวกกลับเข้าตัวเธอ ทำให้เธอกลายเป็นคนเสียสติ คุณหญิงอบเชยโกรธแค้นแทนลูกสาว จึงสั่งคนใช้ให้สร้างเรือนหลังเล็กขึ้นมาเพื่อขังแพงที่กลายเป็นคนบ้าไว้ ไม่ให้ออกมาสู่โลกภายนอก คุณหญิงทรมานแพงโดยการเฆี่ยนตีให้หลาบจำจนแพงถึงแก่ความตาย ก่อนตายแพงอาฆาตกับทุกๆ คนว่าจะไม่ขอไปผุดไปเกิด จะอยู่ที่นี่ และคอยจองเวรคุณชื่นกลิ่นให้พรากจากคนรักไปทุกๆ ชาติ ในชาติปัจจุบัน แพงจึงกลายเป็นวิญญาณร้ายที่คอยทำร้ายและอาฆาตจองเวรรัมภาเรื่อยมา วิญญาณของแพงที่อยู่ในเรือนหลังเล็กยังคงวนเวียนอยู่กับความแค้น เพราะเธอตายร้ายหรือตายในขณะที่มีความอาฆาตพยาบาทมาก อุปทานแห่งความอาฆาตพยาบาททำให้เกิดพลังที่แข็งกล้า พลังชั่วร้ายของแพงยังคงไม่ไปไหน และวนเวียนอยู่ในที่ๆ เธอเสียชีวิต พลังนั้นพร้อมที่จะส่งเสริมความชั่วและต่อต้านความดี แพงจึงใช้ร่างเดือนแรมเป็นสื่อเข้าถึงตัวศามน เพราะรู้ว่าเขาคือคุณพระกลับชาติมาเกิด เมื่อใดที่เดือนแรมมาอยู่ที่เรือนหลังเล็ก เธอจึงทำความเลวได้ขึ้นเพราะพลังร้ายช่วยส่งเสริม ไม่ว่าเดือนแรมจะพูดหรือทำอะไรศามนก็เชื่อไปหมด เพราะมีความร้ายกาจของวิญญาณแพงสนับสนุนอยู่ แพงครอบคลุมเดือนแรมให้ใช้เนื้อหนังมังสายั่วยวนให้ศามนหลงใหล และช่วยให้เดือนแรมใช้ความชั่วร้ายครอบงำศามนไว้ไม่ให้สนใจรัมภาตามความต้องการของตน ส่วนคุณหญิงอบเชย หรือคุณทวดของศามน เมื่อเธอเสียชีวิตลง คุณทวดรู้ว่ารัมภาคือลูกของตนในภพอดีต วิญญาณคุณทวดจึงคอยช่วยรัมภาให้รอดพ้นจากวิญญาณแพง คุณทวดไม่ยอมไปเกิดใหม่เพราะห่วงรัมภา วิญญาณของคนแก่สองคนในบ้านสวนแห่งนี้ ถึงแม้ว่าร่างกายจะสลายไปแล้ว แต่ยังมีอุปาทานว่าตนยังไม่ตาย จิตจึงเกิดเป็นโอปปาติกะวนเวียนอยู่ในภพปัจจุบัน ที่มีทั้งความอาฆาตและความห่วงเป็นบ่วงร้อยรัดทุกคนเข้ามาเกี่ยวข้อง ในที่สุดรัมภานั่งสมาธิจนรู้ความจริงทั้งหมด เธอใช้จิตติดต่อกับคุณทวดให้เลิกจองเวรแพง และอย่าให้ท่านห่วงทางนี้อีก เพื่อจะได้ไม่เป็นบ่วงร้อยรัดท่านต่อไป รัมภายอมรับในวิบากกรรมของตัวเอง เพราะกรรมของแต่ละคนมีที่มาเหมือนลูกโซ่ ร้อยเป็นห่วงติดต่อกันไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าไม่ตัดมัน มันจะกลายเป็นห่วงยืดยาวต่อไปไม่รู้จบ คุณทวดจึงยอมให้รัมภาทำพิธีเผาท่านเพื่อไปเกิดในภพใหม่ รัมภาหมั่นสร้างกุศลมากขึ้น และแผ่ส่วนกุศลไปสู่วิญญาณของแพงด้วย เมื่อวิญญาณของแพงได้รับบุญกุศลที่รัมภาส่งไปอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญที่สุดคือเธอได้รับการอโหสิกรรมจากคุณทวดและรัมภา เธอจึงเลิกอาฆาตจองเวรและยอมไปเกิดใหม่ในที่สุด ความดีที่รัมภาสั่งสมจากการปฏิบัติธรรมและนั่งสมาธิ เธอขอผลบุญทั้งหมดปลดปล่อยศามนให้เป็นอิสระจากบ่วงแห่งความหลง และให้สติสัมปชัญญะของเขากลับคืนมา ความดีของเธอยังกลายเป็นเกราะป้องกันให้ความเลวร้ายทั้งหมดสะท้อนกลับผู้ก่อกรรม กุศลกรรมของรัมภาช่วยสร้างเกราะแก้วคุ้มครองศามน ทำให้เขาไม่ต้องพบจุดจบอย่างคุณพระในอดีต เมื่อทุกอย่างเริ่มคลี่คลาย ศามนเริ่มมีอาการเหมือนมีใครคนหนึ่งเตือนให้เขานึกถึงภรรยาและลูก เมื่อความชั่วร้ายไม่สามารถเข้าถึงตัวศามน มันจึงสะท้อนกลับมาที่คนทำชั่วอย่างเดือนแรม เดือนแรมรู้สึกว่าพลังพิเศษที่เคยช่วยให้เธอมีอำนาจเหนือจิตใจศามนขณะนี้มันเริ่มเสื่อมลง เธอเริ่มหวาดระแวงว่าจะสูญเสียศามนไป ส่วนศามนเริ่มเฉื่อยชาต่อเธอ ในใจของศามนเหมือนมีอำนาจสองอย่างต่อสู้กัน ทำให้เขารู้สึกสับสนและว้าวุ่น เมื่อเดือนแรมรู้ว่าศามนเปลี่ยนไป เธอรับไม่ได้จนเกิดอาการประสาทหลอนจนเสียสติ เหมือนกับที่รัมภาเคยเป็นเมื่อสมัยอยู่ที่เรือนหลังเล็กและโดนศามนทิ้ง ศามนรู้สึกอับอายผู้คนที่เดือนแรมมีอาการแบบนี้ เขาจึงส่งตัวเดือนแรมให้ไปอยู่ที่โรงพยาบาลโรคจิต อนุกูลเห็นโทษของตัณหาราคะจากเรื่องของศามน อนุกูลยินดีที่รัมภาผู้น่าสงสารกลับมามีครอบครัวที่สมบูรณ์เหมือนเดิม เขาตัดใจจากรัมภาและรู้ใจตนเองว่ารักพัชนี เขาหยุดชีวิตเพลย์บอยที่ติดอยู่ในตัณหาราคะ เพื่อแต่งงานและเริ่มต้นครอบครัวที่สมบูรณ์กับพัชนี ที่เรือนหลังใหญ่ หลังจากเรื่องร้ายๆ ผ่านไป ศามนสำนึกผิด เขากลับขึ้นไปไหว้ศพคุณทวดอีกครั้ง เพื่อขอให้คุณทวดช่วยให้เขากลับมาเป็นคนเดิม และดลใจให้รัมภาและลูกๆ อภัยให้เขาด้วย หลังจากเผาศพคุณทวดเสร็จสิ้น ศามนตัดสินใจไปบวชเพื่อชำระจิตใจให้สะอาด เขายอมตัดขาดจากทางโลกเพื่อให้ทุกคนอโหสิกรรมให้ และหมั่นสร้างกุศลแผ่เมตตาให้กับเจ้ากรรมนายเวรในอดีต เพื่อให้เรื่องต่างๆ คลี่คลายในทางที่ดี รัมภาพาลูกๆ ไปใส่บาตรทุกวัน เธอพร้อมให้อภัย และรอคอยวันที่ศามนในชุดผ้าเหลืองจะสึกออกมา เพื่อใช้ชีวิตเป็นครอบครัวที่อบอุ่นที่บ้านสวนแห่งนี้เหมือนเดิม เพราะแรงอาฆาต แรงแค้น แรงริษยา หรือ แรงรัก แรงพวกนี้มีพลังสูง คืออำนาจของกิเลส ถึงร่างกายจะสลายไป มันก็ยังคงมีพลังอยู่ เป็นห่วงคล้องไม่ให้ชีวิตหลังความตายเป็นไปตามกระแสกรรม กรรมของแต่ละคนมีที่มาเหมือนลูกโซ่ ร้อยเป็นห่วงติดต่อกันไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าเราไม่ตัดมัน มันจะกลายเป็นห่วงยืดยาวต่อไปไม่รู้จบ ความอาฆาตแค้นก็เป็น “ บ่วง ” ความรักความห่วงใยก็เป็น “ บ่วง ”
Read more »

แววมยุรา

บทประพันธ์ พนมเทียน บทโทรทัศน์ ทองเอก กำกับการแสดงโดย ต้น ชานนท์ สมฤทธิ์ ดำเนินการสร้างโดย ปิยวดี มาลีนนท์ บริษัท เวฟมีเดียเวิลด์ จำกัด(มหาชน) ออกอากาศตอนแรก วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน 2555 ทางช่อง 3 เรื่องย่อ สยุมภูว์ ทศพล ( ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ ) นักธุรกิจหนุ่มหล่อผู้ลึกลับ เพิ่งกลับมาถึงเมืองไทย และเพิ่มพงษ์ ( จตุรงค์ มกจ๊ก ) มือขวาข้างกาย รีบมาพบ นิติธร ( พิศาล อัครเศรณี ) ทนายประจำตัวของ สีหราช ทศพล พ่อของเขาที่เพิ่งเสียชีวิตไป เพื่อรับฟังพินัยกรรม โดยมีเนื้อความว่า พ่อของเขายกบ้านไม้หลังเก่าและเงินจำนวนหนึ่งให้กับนิติธร และยกกิจการทั้งหมด มูลค่ามหาศาลให้กับสยุมภูว์ พร้อมระบุว่าถ้าสยุมภูว์ไม่สามารถรับมรกดก กิจการทศพลกรุ๊ปทั้งหมดจะถูกยกให้นิติธรและทายาทเป็นผู้รับมรดกแทน ในคืนนั้น หลังจากมื้อค่ำ สยุมภูว์และเพิ่มพงศ์เดินกลับมาที่รถ ทันใดนั้นรถเกิดระเบิดขึ้น มอดไหม้ไปทั้งคัน และเห็นชายชุดดำสวมหมวกกันน๊อกยืนพยักหน้าพอใจที่ทำงานสำเร็จ ก่อนจะบิดมอเตอร์ไซค์หนีหายไป แววมยุรา ( มารี เบรินเนอร์ ) เธอคือพริตตี้ที่สวยเซ็กซี่และพูดพรีเซนท์รถยนต์ได้อย่างฉะฉาน โดย คำรพ(เกริก ชิลเลอร์ ) เจ้าของบริษัทรถยนต์นำเข้า ได้จ้างแววมาทำงานในบริษัทของตน โดยหวังว่าแววจะยอมเป็นภรรยาของเขา ในห้องแต่งตัวหลังเวที คำรพอดใจไม่ไหวเข้าไปลวนลามแวว จนแววสุดจะทนตบหน้าคำรพและตัดสินใจลาออก แววต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมดของครอบครัวทั้งค่ารักษาของ มารตี ( นวลปรางค์ ตรีชิต ) ผู้เป็นแม่ที่เข้าใจว่าตนเองป่วยอยู่ตลอดเวลา อีกทั้ง วัณณรี ( ปชาบดี ตัณฑปุตตะ ) น้องสาวที่กำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย แววกลุ่มใจหนักจนต้องมาปรึกษาเรื่องหางานกับ ชลธิชา ( นุชนันท์ อรัณยะนาค ) และ เริงใจ (หรรษา จึงวิวัฒน์วงศ์ ) เพื่อนรักทั้งสองที่คบกันมานาน จนเพื่อนทั้งสองเห็นใจจึงช่วยแววหางานอีกแรง นิติภูมิ (อนุชิต สพันธุ์พงศ์ ) ลูกชายคนเดียวของนิติธรแค้นที่พ่อทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับการรับใช้คุณสีหราชกระทั่งแม่ของนิติภูมิป่วยหนัก พ่อก็ยังไม่มีเวลาให้ จนแม่ต้องจากไป หนำซ้ำพ่อยังพูดเปรียบเทียบตนกับสยุมภูว์ นิติภูมิจึงเกลียดสยุมภูว์เข้าไส้ จึงว่าจ้างศักดากำจัดสยุมภูว์ เพราะถ้าไม่มีสยุมภูว์แล้วกิจการทั้งหมดของทศพลกรุ๊ปก็จะตกเป็นของพ่อและเขา เพิ่มพงษ์ ชี้แจงว่า สยุมภูว์กำลังถูกตามฆ่า เพิ่มพงษ์จึงซื้อร้านขายต้นไม้และรับจัดสวนไว้เป็นเซฟเฮ้าส์ เพื่อใช้บังหน้าและเป็นออฟฟิศในการทำงานอีกด้วย และยังเช่าบ้านไว้อีกหลังเพื่อเป็นที่นอนและไว้หลบในสถานการณ์ฉุกเฉินอีกด้วย เมื่อทั้งสองมาถึงบ้าน เพิ่มพงษ์หันมาอีกที สยุมภูว์ก็ได้เดินเข้าบ้านไปแล้ว เพิ่มพงษ์จึงตามเข้าไป แต่จริงๆแล้ว สยุมภูว์เข้าผิดบ้าน เพราะบ้านที่เข้าไปนั้นเป็นบ้านของแวว ซึ่งแววเพิ่งอาบน้ำเสร็จนุ่งผ้าเช็ดตัวออกมาเจอสยุมภูว์ จึงคิดว่าสยุมภูว์จะเข้ามาข่มขืน แววจึงได้ปาสิ่งขางใส่ สยุมภูว์เห็นว่าแววไม่ฟังจึงวิ่งออกมาจากบ้านและเจอเข้ากับ เอกรินทร์ ( ภพธร สุนทรญาณกิจ ) เพื่อนของแวว และเมื่อได้ยินแววร้องโวยวายให้ช่วย เอกรินทร์จึงต่อยหน้าสยุมภูว์ทันที แต่เพิ่มพงษ์เข้ามาขวางไว้ทันและปรับความเข้าใจกัน เมื่อถูกถามชื่อ สยุมภูว์เกือบหลุดปากบอกชื่อจริง แต่เพิ่มพงษ์ตอบสวนไปว่าชื่อ จักร กังวาลไกล จากนั้นสยุมภูว์ต้องปิดบังตัวตนที่แท้จริงจากทุกคนด้วยชื่อ จักร ทั้งจักรและแววกลับไม่ปรองดองกัน จักรก็โวยวายว่าแววไม่ขอโทษ น้าเพิ่มหรือเพิ่มพงษ์ก็ชอบใจที่เห็นทั้งคู่ทะเลาะกัน เพราะไม่เคยเห็นสยุมภูว์เป็นแบบนี้ น้าเพิ่มอยากให้สยุมภูว์ทำตัวกวนๆแบบนี้ไปตลอด และน้าเพิ่มก็ได้นำ แจ๊ค (เฉลิมศักดิ์ แย้มคะมัง ) ซึ่งเป็นญาติห่างๆมาช่วยงานที่ร้านดอกไม้และก็ปิดบังตัวตนของสยุมภูว์กับแจ๊คด้วย ในคืนนั้นชลธิชาโทรหาแววคุยเรื่องที่แววยังตกงาน แววหลบมาคุยหลังบ้านเพราะไม่อยากให้แม่และน้องสาวรู้ ชลธิชาได้ชวนแววให้มาทำงานที่ร้านกาแฟของตนเอง แต่แววปฏิเสธ เพราะอยากทำงานพิสูจน์ตนเองให้ได้ จักรที่ได้ยินและได้เห็นน้ำตาของแววเกิดรู้สึกสงสาร เอกรินทร์เมื่อทราบว่าแววยังไม่ได้งาน จึงพาไปแววไปสมัครงานที่เดียวกับ ไลลา (โชติกา วงศ์วิลาศ ) ซึ่งเป็นน้องสาวของเอกรินทร์ แต่แววโชคร้ายที่มีเรื่องกับไลลาเสียก่อน เอกรินทร์จึงขับรถมาส่งแววที่ร้านกาแฟของชลธิชา เริงใจแสดงออกว่าชอบเอกรินทร์อย่างออกนอกหน้า ขณะที่ชลธิชาได้แต่แอบมองแต่ไม่แสดงออก รุ่งขึ้นคำรพได้มาหาแววถึงบ้านและยื่นข้อเสนอว่าจะเพิ่มเงินเดือน ซื้อบ้าน ซื้อรถให้ แต่แววปฏิเสธไม่ยอมขายศักดิ์ศรีกิน จักรฟังอยู่ยิ่งประทับใจในตัวแวว ชลธิชาช่วยหางานให้แววไปเป็นนางแบบวันประมูลงานเครื่องเพชร ซึ่งคำรพก็ไปในงานนั้นด้วย คำรพพยายามประมูลเครื่องเพชรที่แววนำเสนอในราคาหกล้านบาท ขณะที่พิธีกรกำลังนับถอยหลังที่จะเคาะราคา ชายคนหนึ่งได้ประมูลในราคาเจ็ดล้านบาทโดยแนะนำตัวงว่าเขาคือ วงศกร เลขาหมายเลข 3 ของ สยุมภูว์ ทศพล นิติภูมิได้เห็นข่าวการประมูลเครื่องเพชรและทราบว่าสยุมภูว์ยังมีชีวิตอยู่ จึงได้ด่าศักดาและให้ศักดาตามฆ่าสยุมภูว์ต่อไป หลังเลิกงาน คำรพตามตื้อแวว พร่ำบอกว่าจะดูแลส่งเสียทั้งแววและครอบครัวอย่างดี คำรพฉุดแววให้ขึ้นรถของตน แต่จักรโดดมาช่วยไว้ โดยแลกหมัดกับคำรพจนได้แผลกลับไปคนละเล็กละน้อย จักรพาแววมาส่งที่บ้านด้วยรถกระบะสภาพบุโรทั่งของตน และเมื่อถึงบ้านแววขอบคุณเขาด้วยการทำแผลให้ แต่พอจักรพูดกวนใส่ แววเลยหนักมือไปหน่อย จักรเลยเผลอไปดึงมือแววออก เพียงแค่จับมือทั้งสองก็รู้สึกหวั่นไหวกันเล็กๆ น้าเพิ่มกับแจ๊คมั่นใจว่าเจ้านายของตนท่าทางจะหลงเสน่ห์สาวข้างบ้านคนนี้เข้าแล้วอย่างแน่นอน
จักรเห็นใจที่แววต้องแบกรับภาระของครอบครัวทั้งหมด จึงหาวิธีช่วยโดยให้นิติธรไปหาแววถึงที่บ้าน โดยอ้างว่า สยุมภูว์เห็นแววจากงานประมูลเพชรแล้วถูกชะตา โดยให้เงินเดือนที่สูงถึงสามแสนบาท แววตอบตกลงทำงานเพราะอยากพิสูจน์ตนเองจากการทำงานมากกว่าเงิน นิติธรจึงหยิบโน๊ตบุ๊คให้แววโดยบอกว่า การทำงานกับสยุมภูว์นั้นต้องทำงานผ่านกล้องคอมพิวเตอร์เท่านั้น เมื่อเปิดกล้องแววก็เห็นแต่เงา ไม่เห็นหน้าของสยุมภูว์ แต่งานที่แววได้รับมอบหมายนั้น ก็มีแต่เรื่องหาของกิน ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับงานที่บริษัท จนแววเริ่มสงสัยว่า สยุมภูว์คือใคร เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป แววจะรู้หรือไม่ว่าสยุมภูว์คือใคร ความรักของจักรและแววจะเป็นอย่างไร และนิติภูมิจะจัดการสยุมภูว์ได้หรือไม่ ติดตามได้ใน “ แววมยุรา ” ทุกวันศุกร์ เสาร์และอาทิตย์ เวลา 20.30 น. เริ่ม22 เมษายนนี้ ทางไทยทีวีสีช่อง 3 นำแสดงโดย 1. สยุมภูว์หรือจักร รับบทโดย ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ 2. แววมยุรา รับบทโดย มารี เบรินเนอร์ 3. เอกรินทร์ รับบทโดย ภพธร สุนทรญาณกิจ 4. แป้งร่ำ รับบทโดย ณิชารีย์ โชคประจักษ์ชัด 5. ชลธิชา รับบทโดย นุชนันท์ อรัณยะนาค 6. เริงใจ รับบทโดย หรรษา จึงวิวัฒน์วงศ์ 7. ไลลา รับบทโดย โชติกา วงศ์วิลาศ
Read more »

ละคร ขุนเดช

นายเดื่อง (วินัย ไกรบุตร) หัวหน้าคนงานขุดแต่งโบราณสถานรับปาก อาจารย์ประทีป (วันชัย เผ่าวิบูลย์) หัวหน้าคณะศึกษา โบราณคดีของกรมศิลป์ว่าจะปักหลักเฝ้าพระศิลาพระพุทธรูปที่ถูกค้นพบในถ้ำศิลาบนเขาหลวงสุโขทัย ให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของพวกโจรใจบาปที่จ้องจะลักตัดเศียรพระศิลา
นายเดื่อง (วินัย ไกรบุตร) หัวหน้าคนงานขุดแต่งโบราณสถานรับปาก อาจารย์ประทีป (วันชัย เผ่าวิบูลย์) หัวหน้าคณะศึกษา โบราณคดีของกรมศิลป์ว่าจะปักหลักเฝ้าพระศิลาพระพุทธรูปที่ถูกค้นพบในถ้ำศิลาบนเขาหลวงสุโขทัย ให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของพวกโจรใจบาปที่จ้องจะลักตัดเศียรพระศิลา โดยเฉพาะกำนันบุญ สุโขทัย (สุรวุฑ ไหมกัน) ซึ่งมี นิสัยขี้โกง ชอบสะสมและลักลอบซื้อขายวัตถุโบราณ เมื่อกำนันบุญรู้เรื่องพระศิลาที่ถูกค้นพบเลยอยากได้ไว้ ในครอบครองจึงเดินทางจากสุโขทัย มาศรีสัชนาลัยบ้านนายเดื่อง เพื่อขอให้นายเดื่องเปิดทางให้เข้าไปลัก ตัดเศียรพระ แต่กำนันบุญถูกนายเดื่องปฏิเสธ และไล่ตะเพิดอย่างไม่เกรงกลัวอิทธิพล นายเดื่องเป็นห่วง พระศิลาเลยจำเป็นต้องฝาก ขุนเดช (วีรภาพ สุภาพไพบูลย์) ลูกชายวัย 10 ขวบไว้กับ คำปัน (รชยา รักกสิกรณ์) หญิงสาวที่แอบชอบพ่อของขุนเดช และคอย ช่วยเลี้ยงดูขุนเดชเหมือนลูกแท้ๆ แต่ความอยากรู้อยากเห็นของขุนเดชที่มีใจรักและสนใจในศิลปะโบราณ ซึ่งถูกถ่ายทอดจากพ่อ ทำให้ขุนเดชแอบขึ้นรถของอาจารย์ประทีปตามไปหาพ่อที่ถ้ำศิลา อาจารย์ประทีป กลัวภัยจะเกิดกับนายเดื่อง จึงให้ปืนไว้ป้องกันตัว แต่นายเดื่องปฏิเสธยืนยันจะใช้แค่ไม้ตะพดหัวเงิน อาวุธคู่กาย ปกป้องสมบัติของแผ่นดิน ฟากกำนันบุญที่โกรธแค้นนายเดื่องมาก จึงสั่งให้เสือแชนกับเสือชิด ลูกน้องคนสนิท พาพวกบุกไปที่ถ้ำศิลาเพื่อจัดการกับนายเดื่องและ เอาเศียรพระศิลามาให้ได้ ขุนเดชที่แอบตามอาจารย์ประทีปมาหาพ่อที่เขาหลวงเกิดพลัดหลงอยู่ในป่า หาทางไปหาพ่อที่ ถ้ำศิลาไม่ได้ โชคดีเจอหลวงพ่อสุข พระธุดงค์ที่มาปักกลดอยู่ใน บริเวณเขาหลวง หลวงพ่อสุขเคยเจอนายเดื่อง ที่บริเวณถ้ำศิลาจึงพาขุนเดชไปหา นายเดื่องโกรธลูกชายมากที่แอบหนีมาจะลงมือตี แต่หลวงพ่อสุขห้ามไว้ บอกพรุ่งนี้เช้า จะเป็นคนพาขุนเดชกลับไปที่ศรีสัชนาลัยเอง คืนนั้นนายเดื่องจำเป็นต้องให้ขุนเดชค้างอยู่ในถ้ำ ขุนเดชนอนฟังพ่อเล่าเรื่อง ความเชื่อเกี่ยวกับเขาหลวงให้ฟังว่า เขาหลวงแห่งนี้ก็คือ “ พระขพุง ผีเทวดา ที่สถิตย์อยู่ที่นี่ยิ่งใหญ่กว่าเทวดาในเมืองสุโขทัย หากผู้ครองเมืองสุโขทัยจะเป็นผู้ใดก็ตาม รู้จักนบไหว้ และ ทำพิธี เซ่นสรวงถูกต้องแล้ว เมืองสุโขทัยย่อมตั้งมั่นถาวรยั่งยืน แต่หากไม่รู้จักนบไหว้ ไม่มีการพลีบูชา ตามแบบแผนแล้ว ผีในเขาหลวงจะไม่คุ้มไม่เกรง เมืองสุโขทัยก็จะล่มจม ” เพราะเหตุนี้นายเดื่องจึงต้องมาเฝ้า พระศิลาเอาไว้จากพวกคนใจบาป ขุนเดชเองก็รับปากพ่อว่าเมื่อโตขึ้นจะทำหน้าที่รักษาสมบัติของชาติแบบพ่อ แต่ระหว่างนั้น พวกเสือแชน เสือชิดบุกเข้ามา นายเดื่องห่วงลูกชายจึงสั่งให้ขุนเดชไปซ่อนตัว แล้วเข้าต่อสู้กับ พวกเสือแชน เสือชิด ด้วยไม้ตะพดอันเดียว สุดท้ายนายเดื่องก็สู้ไม่ได้ถูกพวกมันฆ่าตายอย่างเหี้ยมโหดทารุณ ต่อหน้าต่อตาขุนเดช แล้วตัดเอาเศียรพระศิลาไป เสือชิดได้ยินเสียงขุนเดชที่ซ่อนตัวในถ้ำจึงคิดจัดการขุนเดชอีกคน แต่ขุนเดชคว้าไม้ตะพดของพ่อมาเป็นอาวุธและหนีพวกมันเข้าหายไปในป่าเขาหลวง กลางดึกคืนนั้นขณะที่หลวงพ่อสุขกำลังนั่งเจริญสมาธิอยู่ในกลด หลวงพ่อสุข ได้เห็นนิมิตร บางอย่างที่น่าตกใจ ในนิมิตร หลวงพ่อเห็นความเสื่อมทรามของผู้คน ที่ไม่เคารพต่อพระพุทธศาสนา ศิลปะโบราณวัตถุถูกย่ำยีกลายเป็นเครื่องประดับฝาบ้าน พระพุทธรูปต้องอยู่หลังกรงขังกั้น ไม่ให้ผู้มีจิตศรัทธา กราบไหว้ บางองค์ก็ถูกรุม ขัดถูเพื่อขอหวยมัวเมาในกิเลศ พระพุทธรูปที่งดงามตามโบราณสถานก็ถูกตัดเศียร เรียงรายจนน่าเวทนา หลวงพ่อสุขสะดุ้งตื่น จากนิมิตรพร้อมกับเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากขุนเดช ที่กำลังถูกพวกเสือแชน เสือชิดไล่ตามล่า และคิดว่าขุนเดชตกหน้าผาตายไปแล้วจึงพากันกลับไป แต่ที่จริงแล้ว ขุนเดชหลบซ่อนตัวอยู่ในซอกหิน ด้วยความตื่นกลัวและตระหนกตกใจเป็นอย่างมาก ภาพของพ่อที่ถูกฆ่าตาย อย่างเหี้ยมโหดต่อหน้าต่อตา ภาพของพระศิลาที่ถูกตัดเศียรทำให้ขุนเดชกลัวจนช็อคหมดสติ หลวงพ่อสุขไปพบนายเดื่องถูกฆ่าตายที่ถ้ำศิลาจึงออกตามหาขุนเดชด้วยความเป็นห่วง และได้พบขุนเดชสลบอยู่ที่ซอกหินจึงปลุกขุนเดชให้ตื่น แต่ขุนเดชกลับลุกขึ้น มาแสดงอาการเกรี้ยวกราด ดุดัน ใช้ไม้ตะพดที่กำไว้แน่นไล่ทำร้ายหลวงพ่อเหมือนกับสัตว์ร้ายตัวหนึ่ง หลวงพ่อรู้ว่าที่ขุนเดชเป็นอย่างนี้ เพราะอาการช็อคตกใจกลัวจนเสียสติ ควบคุมตัวเองไม่ได้ หลวงพ่อนั่งนิ่งและแผ่เมตตาให้ขุนเดชใจสงบ ซึ่งก็ได้ผลขุนเดช สงบนิ่งไปและเอาแต่ร้องห่มร้องไห้ฟูมฟายน่าเวทนา หลวงพ่อสุขจำเป็นต้องเป่ากะหม่อม ขุนเดชให้หลับอย่างสงบ ข่าวการตายของนายเดื่องและการหายตัวไปของขุนเดชลูกชายนายเดื่อง เป็นที่โจษจันไปทั่ว สุโขทัยว่าเป็นฝีมือโจรใจบาป จ่าแท่น (วีระชัย หัตถโกวิท) ซึ่งรักและเคารพนายเดื่องเหมือนพี่ชาย คิดว่าขุนเดชน่าจะยังมีชีวิตอยู่ จึงชวนคำปันซึ่งเป็นน้องสาว ออกตามหาขุนเดช แต่ทั้งคู่ไม่พบร่องรอยขุนเดช คำปันร้องไห้เสียใจทำใจไม่ได้ ว่าขุนเดชตาย ชาวบ้านที่เชื่อเรื่องผีสางพากันพูดกันว่า พระขผุงคง เอาตัวขุนเดชไปอยู่ด้วยที่เขาหลวง 10 ปีต่อมา หลวงพ่อสุขซึ่งเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ได้เลี้ยงดูขุนเดช จนเติบโตเป็นหนุ่มหน้าตาดี มีความฉลาดเฉลียวโดยสามารถสอบเข้าเรียนเป็นนักศึกษาในคณะโบราณคดี ด้วยคะแนนสูงสุด แต่ขุนเดชจำเรื่องราวเมื่อ 10 ปีก่อนไม่ได้ เพราะผลจากการตกใจ กลัวจนช็อค ส่วนไม้ตะพด ของนายเดื่องที่ติดตัวขุนเดชมา หลวงพ่อสุขก็เก็บรักษาเอาไว้ในกุฎิไม่เคยนำมาให้ขุนเดชเห็นเพราะเกรงว่า ถ้าขุนเดชจับไม้ตะพดนี้อีกครั้ง ความโกรธแค้น เกรี้ยวกราด ราวกับสัตว์ร้ายที่อยู่ในจิต ใต้สำนึกของขุนเดช อย่างที่หลวงพ่อเจอในอดีตจะกลับมาสิงสู่ในร่างของขุนเดชอีกครั้ง แต่หลวงพ่อก็ไม่เคยรู้ว่า หลายต่อหลายคืน ขุนเดชมักจะฝันร้ายเห็นภาพเศียรพระศิลา ถูกตัด ซึ่งขุนเดชก็ไม่กล้าเล่าให้หลวงพ่อฟัง เพราะกลัวว่าจะทำให้ อาการอาพาธของหลวงพ่อที่ไม่ค่อยดีอยู่จะทรุดหนักขึ้น ใกล้ๆ วัดที่ขุนเดชอาศัยอยู่เป็นโรงหล่อพระของ ลุงเถิน ที่เอ็นดูขุนเดชเพราะ เป็นเด็กหนุ่ม เอาการเอางานมักมาช่วยงานจ่าเถินเสมอๆ แถมขุนเดชยังช่วยติวหนังสือให้ ดารา (อคัมย์สิริ สุวรรณศุข)ลูกสาวคนสวยของจ่าเถิน ที่อยากจะสอบเข้าเรียนในคณะโบราณคดี เหมือนอย่างขุนเดช ดารามักจะค่อนขอดและงอนพ่อบ่อยๆ หาว่า พ่อรักขุนเดชเหมือนลูกชาย ที่เป็นอย่างนั้นเพราะจ่าเถินมักชวนขุนเดชคุยเรื่องในอดีต ที่จ่าเถินเคยเป็นนักเลง เพลงดาบ ได้ฝีมือตีเหล็กตีดาบมาจากปู่ที่เป็นคนอรัญญิก จ่าเถินให้ขุนเดชดูดาบที่จ่าเถิน ตีตอนเป็นหนุ่มๆ มันเป็นดาบไทยที่คมกริบ ฟันฉับเดียวต้นกล้วยขาดเป็นสองท่อน แต่เวลานี้จ่าเถินเลิกทุกอย่างแล้วใช้วิชาความรู้ มาหล่อพระแทนเพราะไม่อยากทำบาป จ่าเถินกลัวว่าถ้าตัวเองตายจะถ่ายทอดวิชาพวกนี้ให้ ลูกสาวไม่ได้ จึงสอนให้ขุนเดช ทั้งวิชาเชิงดาบและการตีดาบไว้เป็นความรู้ติดตัว เวลาที่ขุนเดชไปไหนมาไหนกับดารา ใครๆ มักจะคิดว่าสองคนเป็นคนรักกัน แม้แต่ ย้ง หรือ ยงยุทธ (ศุกลวัฒน์ คณาเรศ) เพื่อนสนิทของขุนเดชที่กำลังสอบเข้าเรียนตำรวจก็คิดอย่างนั้น ขุนเดชอ่านใจของเพื่อนได้ว่า ย้งเอง ก็แอบชอบดาราแต่ไม่กล้าแสดงออกเลยคิดจะช่วย ให้ย้งมีโอกาสตามลำพังกับดารา ขุนเดชชักชวนไปเที่ยว อยุธยากันเพื่อชมโบราณสถาน แต่ดารารู้ว่าขุนเดชทำเพื่อย้งเลยน้อยใจเพราะตัวเองก็แอบชอบขุนเดชอยู่ ดาราจะนั่งรถบัสกลับกรุงเทพฯ คนเดียว แต่ระหว่างทางเจอกับประดับ (ณัฐวัฒน์ เปล่าศิริวัธน์) ลูกชาย นายทหารนิสัยเกกมะเหรกเกเร เพราะมีพ่อเป็นนายทหารยศใหญ่โต จึงกร่างไม่กลัวใคร ประดับกับเพื่อนฝูงพยายามที่จะชวนดาราให้ขึ้นรถ ไปด้วยกัน ขุนเดชกับย้งตามมาเจอเลยมีเรื่องและเข้าตาจนถูกพวกประดับล้อมกรอบ ดีที่อาจารย์ประทีป และคณะศึกษาโบราณคดีขับรถผ่านมาพบเข้า พวกประดับจึงล่าถอยไป แต่ก็เก็บสมุดจดบันทึกของดาราได้ ทำให้ประดับรู้ว่าดาราเป็นใครและเรียนอยู่ที่ไหน อาจารย์ประทีปอาสาพาพวกขุนเดชไปส่งกรุงเทพฯ เพราะ กำลังไปที่นั่นเหมือนกัน และอาจารย์ประทีปก็สะดุดชื่อขุนเดชเป็นอย่างมาก ยิ่งได้รู้ว่าขุนเดชเป็นเด็กกำพร้า อาศัยอยู่ในวัดและเป็นนักศึกษาโบราณคดีที่มีความรู้เกี่ยวกับสุโขทัยจนหาตัวจับได้ยาก ก็ยิ่งสนใจ ขุนเดชกลับมาที่วัดก็ทราบข่าวร้ายว่าหลวงพ่อสุขอาพาธหนักแต่ไม่ยอมไป โรงพยาบาล เพราะคิดว่าเมื่อถึงเวลาต้องละสังขารก็ขอให้เป็นไปตามกรรม ส่วนอาจารย์ประทีปด้วยความสงสัยว่า ทำไมหลวงพ่อสุขตั้งชื่อเด็กที่เอามาเลี้ยงว่าขุนเดช จึงเข้าไปมนัสการกราบหลวงพ่อ และก็จำได้ว่าหลวงพ่อสุข คือพระธุดงค์องค์เดียว กันกับที่เคยเจอที่เขาหลวงเมื่อ 10 ปีก่อน เลยยิ่งมั่นใจว่าต้องเกี่ยวข้องกับขุนเดช ลูกชาย นายเดื่องที่หาศพไม่พบจนทุกวันนี้ หลวงพ่อเลยเล่าให้อาจารย์ประทีปฟังถึงสาเหตุที่ ต้องพาขุนเดชมาอยู่ที่วัด และเลี้ยงดูขุนเดช เพราะขุนเดช เห็นภาพพ่อตัวเองถูกฆ่าตาย ต่อหน้าต่อตา จึงช็อคและจำความไม่ได้ หลวงพ่อ กลัวว่าถ้าโจรพวกนั้นรู้ว่าขุนเดชยังมีชีวิตอยู่จะเป็นอันตรายจึงพาขุนเดชมากรุงเทพฯ แต่ขุนเดชยังมีจิตวิญญาณ ของคนศรีสัชนาลัย เพียงแค่ภาพโบราณสถานของสุโขทัยจากในหนังสือ ขุนเดชก็สามารถจดจำรายละเอียด ที่มาได้หมด หลวงพ่อสุขเอาไม้ตะพดมาให้อาจารย์ ประทีปดูเพื่อยืนยันว่าเป็นขุนเดช ลูกชายนายเดื่อง จริงๆ หลวงพ่ออยากให้อาจารย์ประทีป รับปากว่าจะคืนไม้ตะพดอันนี้ให้ขุนเดช ก็ต่อเมื่อจิตใจของขุนเดชนิ่งสงบพอ และรู้จักคำว่าอโหสิ เพราะถ้าขุนเดชยังมีจิตที่ไม่นิ่ง ไม้ตะพดก็จะไม่ต่างอะไรกับดาบในมือของทหารพระร่วง ประดับตามมาหาดาราถึงที่โรงหล่อพระแต่ถูกเถินกับขุนเดชไล่ตะเพิดเพราะดันมาลองดีกับ เถิน นักเลงเก่า ประดับเจ็บแค้นที่ถูกด่าสาดเสียเทเสียจึงใช้อิทธิพลของพ่อ พาทหารบุกไปโรงหล่อพระ พยายามแจ้งข้อหาเท็จกับนายเถินว่าซ่องสุมอาวุธสงคราม เพื่อเป็นประโยชน์ให้พวกกบฏ เถินปฏิเสธเสียงแข็ง ว่าไม่เคยเกี่ยวข้องกับอาวุธสงคราม และไม่สนใจการเมือง ประดับจึงสั่งให้พรรคพวกบุกทุบทำลายพระพุทรูป ที่หล่อเสร็จ แล้ว ต่อหน้าต่อตาดาราและนายเถินที่แทบหัวใจสลายที่เห็นพระพุทธรูปถูกทำลาย ประดับเอาปืน ที่นำมายัดไว้ในองค์พระเพื่อเป็นหลักฐานเล่นงานนายเถินให้ถูกจับกุม ขุนเดชต้องพาดาราไปพักอยู่กับย้งเพื่อความปลอดภัย ไม่ให้ถูกประดับตามมารังควาญอีก ย้งกับดารารู้สึกกลัวแววตาขุนเดชที่บอกว่า จะจัดการทุกอย่างให้ เมื่อย้งถามว่า ขุนเดชคิดจะทำอะไร ขุนเดชก็ไม่ปริปากพูดสักคำ ขุนเดชไปที่โรงหล่อ พระที่เหลือแต่เศษซากของพระพุทธรูปที่ถูกทำลาย เศียรพระที่ถูกทุบทำลายจนหลุด จากบ่า ทำให้ภาพอดีตในวัยเด็กของขุนเดชผุดเข้ามาสร้างความเจ็บปวด ให้ขุนเดชอีก แต่ขุนเดชยังไม่รู้ว่าภาพเหล่านั้นคืออะไรและเกี่ยวข้องกับตัวเองยังไง ขุนเดชรู้ว่าดาบ ของลุงเถิน ที่เคยใช้เมื่อวัยหนุ่มเก็บซ่อนไว้ที่ไหน ขุนเดชนำมันออกมาแล้วมุ่งหน้าไปหา ประดับที่กำลังดื่มกินอยู่ในบาร์ คืนนั้นเอง อาการอาพาธของหลวงพ่อสุขกำเริบหนัก หลวงพ่อถามหาขุนเดช แต่ไม่มีใครรู้ว่า ขุนเดชอยู่ที่ไหน ไม้ตะพดของขุนเดชตกลงมาจากชั้นวาง นิมิตรที่หลวงพ่อเคยเห็นเมื่อ 10 ปีก่อนกลับมาอีกครั้ง เศษซากปรักหักพังของโบราณสถานถูกทำลาย เศียรพระเป็นเพียงเครื่องประดับข้างฝาบ้าน ภาพพระพุทธองค์ กลายเป็นภาพประดับข้างฝาห้องน้ำของต่างชาติ หลวงพ่อสุขหายใจรวยริน พูดเป็นคำสุดท้ายก่อนมรณภาพว่า “ จากนี้ไปไม่มีใคร หยุดขุนเดชได้อีกแล้ว ” ขุนเดชควงดาบของลุงเถินบุกไปเล่นงานพวกประดับจนเกิดการต่อสู้โรมรันพันตู แต่ด้วยดาบ เพียงเล่มเดียวขุนเดชเลยพลาดท่าถูกพวกประดับจับตัวได้ พวกมันซ้อมขุนเดช ทั้งเตะทั้งอัดจนสบักสะบอม ความเจ็บปวดแสนสาหัสที่โดนทำร้าย กระตุ้น ให้ภาพในอดีตของขุนเดชกลับคืนมาอีกครั้ง คราวนี้ขุนเดชเริ่ม ประติประต่อเรื่องราว เมื่อ10 ปีที่ผ่านมาได้แล้วว่า เกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ขุนเดชจำได้ว่าเขาคือลูกชายนายเดื่อง ผู้ที่สาบานจะถวายชีวิตปกป้อง สมบัติของพระร่วงไม่ให้ใครย่ำยี ขุนเดชเองก็สาบานกับพ่อว่าจะถวายชีวิต เป็น ทหารของพระร่วงแห่งศรีสัชนาลัย พวกประดับเห็นขุนเดชนิ่งไปก็นึกว่าหมดสภาพ แต่ขุนเดชกลับลุกขึ้นมา ด้วยแววตากราดเกรี้ยวน่ากลัวราวกับมีสัตว์ร้ายเข้ามาสิงสู่ ขุนเดชคว้าดาบได้และเกือบสังหาร ประดับด้วยการ บั่นคอ แต่ขุนเดชก็หยุดชะงักเมื่อมีกลุ่มทหารเข้ามายุติการก่อเหตุ ประดับนึกว่าคนของพ่อมาช่วย แต่เขาคิดผิด ทหารที่บุกเข้ามายุติเหตุการณ์เป็นทหารฝ่ายปฏิวัติ เพราะเวลานี้รัฐบาลทหาร (จอมพล ป.) ถูกคณะปฏิวัติ (จอมพลสฤษดิ์) เข้ายึดอำนาจ หลังการเลือกตั้งสกปรก และรัฐบาลได้รับการคัดค้านจากประชาชน อย่างหนัก ประดับและครอบครัวหลบหนีภัยการเมืองออกนอกประเทศ ลุงเถินถูกปล่อยตัว ออกจากคุก ให้เป็นอิสระ ส่วนขุนเดชกลับมาไม่ทันกราบหลวงพ่อสุขที่มรณภาพในคืนนั้น ในงานศพของหลวงพ่อสุข ขุนเดชบอกอาจารย์ประทีปว่าตนเอง จำความได้แล้วว่าเป็นลูกชายนายเดื่องที่หลวงพ่อช่วยชีวิตเอาไว้ เวลานี้เมื่อสิ้นบุญ หลวงพ่อแล้วก็ถึงเวลาที่เขาควรจะกลับไปยังบ้านเกิดที่ศรีสัชนาลัย แต่อาจารย์ประทีป ทักท้วงอยากให้ขุนเดชได้เรียนโบราณคดีต่อให้จบ จะได้บรรจุเข้ารับราชการ ขุนเดช ปฏิเสธด้วยเหตุผลว่า อยากจะสานต่องานที่พ่อทำ เพราะรับปากพ่อไว้ก่อนตาย อาจารย์ประทีปไม่สามารถเปลี่ยนความตั้งใจของ ขุนเดชจึงรับปากจะช่วยให้ขุนเดชทำงานขุดแต่งโบราณสถานที่ศรีสัชนาลับซึ่งขาดคนอยู่ ขุนเดชกราบขอบคุณ อาจารย์ประทีปและพร้อมจะเดินทางกลับบ้านเกิดทันที อาจารย์ประทีปตามไปที่กุฏิหลวงพ่อสุข ถามหา ไม้ตะพดหัวเงินที่หลวงพ่อเก็บไว้ แต่ลูกศิษย์วัดบอกว่าขุนเดชเอาไม้ตะพดไปแล้ว อาจารย์ประทีปใจคอไม่ดี เมื่อนึกถึงคำพูดของหลวงพ่อสุขที่กำชับไว้ว่า “ อย่าคืนไม้ตะพดให้ขุนเดชจนกว่าจิตใจของขุนเดช นิ่งสงบพอและรู้จักคำว่าอโหสิ ถ้าขุนเดชยังทำไม่ได้ก็ไม่ต่างอะไรกับการคืนดาบให้กับทหารพระร่วง ” ขุนเดชจากไปอย่างเงียบๆ แม้แต่ย้งกับดาราก็ไม่รู้ว่าขุนเดชไปไหน เพราะขุนเดชไม่ยอม บอกใครถึงอดีตของตัวเอง คงมีแต่ลุงเถินที่ได้พบขุนเดชเป็นคนสุดท้าย ขุนเดชเอาดาบลุงเถินที่ไปลับคมใหม่ มาคืน เพราะวันที่สู้กับประดับ ขุนเดชใช้ดาบจนคมดาบบิ่น แต่ลุงเถินมอบให้กับขุนเดชเก็บเอาไว้ เตือนสติว่า “ ถึงดาบจะเป็นอาวุธที่อันตราย แต่สิ่งที่อันตรายกว่าคมดาบ ก็คือใจ” ขอให้ขุนเดชระลึกไว้ตลอดเวลา 10 ปีผ่านไป....ศรีสัชนาลัยงดงามและมีมนต์ขลังด้วยศิลปะโบราณวัตถุอันทรงคุณค่า ขุนเดช ทำงานเป็นหัวหน้าคนงานขุดแต่งโบราณสถานให้กับอาจารย์ประทีป และตั้งหน้าตั้งตาทำนุบำรุงโบราณสถาน ที่ตัวเองรักยิ่งชีวิต หลังจากที่ขุนเดชทำงานเสร็จจึงมาเดินเที่ยวชมวัด และเข้าไปไหว้พระอจนะ ที่ประดิษฐานอยู่ที่วัดศรีชุม ขณะกำลังไหว้พระเขาได้ยินเสียงเสี่ยงเซียมซี จึงหันไปตามเสียงและได้พบบัวทอง (อัษฎาพร สิริวัฒน์ธนกุล) เด็กสาวสวยวัยเพิ่งจะ 19 กำลังเขย่ากระบอกเซียมซีเสียงดัง และอธิษฐานขอพรขมุบขมิบตามประสาเด็กวัยรุ่น ขุนเดชรู้สึกขำท่าทีของเด็กสาว จึงแกล้งพูดแหย่เล่นด้วยความเอ็นดู บัวทองไม่พอใจเดินหนีไป ขุนเดชเดินตาม บัวทองจึงวิ่งไปหาแม่ ขุนเดชเห็นแม่บัวทองจึงจำได้ว่าเป็นน้าคำปัน ที่เคยเลี้ยงดูขุนเดชตอนที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ ขุนเดชดีใจที่ได้เจอน้าคำปันอีกครั้ง เพราะไม่ได้เจอกันตั้งแต่คราวที่พ่อถูกฆ่าตาย เมื่อ 20 ปีที่แล้วที่ได้กลับมาที่ศรีสัชนาลัยก็ได้ ข่าวว่าน้าคำปันกับจ่าแท่นพากันย้ายจากศรีสัชนาลัยไปตั้งรกรากที่อื่น น้าคำปันกอดขุนเดชด้วยน้ำตาว่าเพิ่งจะรู้เรื่องขุนเดชเมื่อไม่กี่ปีมานี่เอง เพราะตอนที่ย้ายจากศรีสัชนาลัยไปเป็นการย้ายเพราะกลัวพวกโจรที่ฆ่าพ่อขุนเดชจะย้อนมาทำร้าย ส่วนจ่าแท่นก็โดนย้ายตามเจ้านาย แต่ตอนนี้สามีของน้าคำปันเพิ่งเสียและจ่าแท่นก็เพิ่งจะได้ย้ายกลับมาที่ศรีสัชนาลัยแล้ว น้าคำปันแนะนำให้ขุนเดชรู้จักกับบัวทองลูกสาวของน้าคำปัน ขุนเดชยิ้มให้บัวทองอย่างเอ็นดูและชมว่าสวยเหมือนน้าสมัยสาวๆ แต่บัวทองกลับแลบลิ้นใส่ขุนเดชเพราะรู้สึกหมั่นไส้ ที่ทำเป็นอวดเก่ง อวดความรู้เรื่องโบราณสถานและทำมาเป็นสั่งสอน คำปันต้องปรามลูกสาวที่แก่นแก้วเป็นม้าดีดกะโหลก ขุนเดชไม่ติดใจอะไร บอกเด็กก็คงเป็นเด็ก บัวทองสวนขุนเดชกลับทันทีว่าปีนี้ อายุ 19 ไม่ใช่เด็กอีกแล้ว น้าคำปันอ่อนอกอ่อนใจฝากขุนเดชช่วยดูแลน้องด้วย ขุนเดชรับปากอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ ที่วัดพระพายหลวงสุโขทัย ขณะที่ขุนเดชแจกชะแลงและเครื่องมือให้คนงานอยู่ มีคนงานคนหนึ่งมีท่าทีแปลกๆ ชื่อ ไอ้เถร พ่อแม่ฝากให้ทำงานกับขุนเดชเพราะยากจน ขุนเดชจึงรับไว้เป็นคนงานขุดแต่งโบราณสถาน ไอ้เถรมีนิสัยชอบลักเล็กขโมยน้อยและชอบขโมยพระในกรุ ตกกลางคืนเถรแอบใช้ชะแลงที่ขุนเดชแจกให้ทำงาน เข้าไปขุดกรุขโมยพระไปขายให้กำนันบุญ รุ่งเช้าขุนเดชเจอร่อยรอยขโมยพระ และเห็นรอยชะแลงที่หน้าดินซึ่งชะแลงแต่ละอันขุนเดชจะทำตำหนิไว้ ทำให้ขุนเดชรู้ว่าใครเป็นคนขุด ตกดึกขุนเดชจึงลากตัวเถรและเอาชะแลงของเถรมาที่กรุพระ แล้วให้เถรนำชะแลงไปเทียบกับรอยดินว่าเป็นชะแลงอันเดียวกันรึป่าว แต่เถรขัดขืนจึงต่อสู้กัน ขุนเดชใช้ไม้ตะพดหัวเงินตีจนเถรยอมเอาชะแลงไปเทียบกับรอยดิน พบว่าเป็นรอยเดียวกัน เถรรีบปฏิเสธ แล้วบอกว่าอาจมีคนขโมยชะแลงไปทำผิด ขุนเดชให้เถรเอามือล้วงไปในข้องปลา พร้อมทั้งสาบานว่าหากเอามือล้วงไปแล้วไม่เกิดอะไรขึ้นแสดงว่าไม่ได้ทำผิด ในข้องนั้นขุนเดชแอบเอางูเห่าใส่ไว้ พอเถรล้วงลงไปจึงโดนงูกัด แต่เถรแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขุนเดชจึงปล่อยไป ระหว่างทางพิษงูออกฤทธิ์ เถรจึงเสียชีวิตเพราะพิษงู รุ่งเช้าที่ร้านกาแฟคู่ผัวเมีย นายฮวดกับสาลี่ (ประภมภรณ์ รัตนภักดี) ประจำหมู่บ้าน พวกชาวบ้านโจษจันถึงเรื่องการตายของไอ้เถร นายฮวดถามจ่าแท่น ลูกค้าประจำที่ชอบมาฟังชาวบ้านคุยกันว่าคิดยังไงกับการตายของไอ้เถร ซึ่งขุนเดชนั่งฟังอยู่ จ่าแท่นบอกเพียงว่าเถรถูกงูเห่ากัดตาย ขุนเดชบอกสมควรแล้วก่อนจ่ายเงินค่ากาแฟแล้วจะไปทำงาน แต่จ่าแท่นรีบยืนทำความเคารพเจ้านายใหม่ที่เพิ่งย้ายมาประจำที่โรงพักศรีสัชนาลัย จ่าแท่นแนะนำร.ต.ท.ยงยุทธ หรือหมวดยงยุทธให้ทุกคนได้รู้จัก ขุนเดชกับหมวดยงยุทธพบหน้ากันก็จำได้ดีว่าเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่กันนั่นเอง วันคืนเก่าๆ ของหมวดยงยุทธกับขุนเดชกลายเป็นเรื่องคุยกันที่บ้านพักของหมวดยงยุทธ ขุนเดชถามหมวดถึงดาราเพราะไม่ได้ข่าวเลยตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่ศรีสัชนาลัย ผู้หมวดหนักใจที่จะพูดถึงดารา บอกเพียงว่าดาราเป็นอาจารย์อยู่ที่คณะโบราณคดีอย่างที่ฝันไว้ และก็ไม่ได้เจอกันนานแล้วเพราะต้องย้ายไปทำงานหลายจังหวัด ยงยุทธชวนขุนเดชคุยเรื่องการตายของไอ้เถร เพราะสงสัยว่าไม่น่าจะเกิดจากงูกัดเสียชีวิตอย่างเดียว เนื่องจากตอนไปชันสูตรศพเห็นรอยการถูกตีด้วยของแข็งตามร่างกาย แต่ไม่รู้ว่าของแข็งนั้นคืออะไร จ่าแทนสงสัยถามย้อนว่าหมวดคิดว่านี่เป็นคดีฆาตกรรม หมวดยงยุทธค่อนข้างแน่ใจ แต่จ่าแท่นไม่คล้อยตามข้อสันนิษฐาน คิดว่าในศรีสัชนาลัยไม่มีฆาตกร เพราะชื่อศรีสัชนาลัยหมายความว่าเป็นเมืองของคนดี ขุนเดชได้แต่ฟัง เงียบๆ และมองหมวดยงยุทธเพื่อนเก่าด้วยรอยยิ้มที่ซ่อนความลับไว้ ต่อมาไม่นานมีคณะอาจารย์และนิสิตนักศึกษาจากกรุงเทพฯ มาเรียนรู้และดูงาน เกี่ยวกับเรื่องโบราณสถาน อาจารย์ประทีปแนะนำให้ขุนเดชรู้จักอาจารย์ดารา เมื่อทั้งคู่ได้พบกันขุนเดชจึงนึกได้ว่าท่าทีอ้ำๆ อึ้งๆ ของหมวดยงยุทธ มีความหมายแท้จริงก็คือ ทุกวันนี้หมวดยงยุทธยังตามจีบดาราอยู่ เพราะเป็นผู้ชายตรงๆ จีบผู้หญิงไม่เป็น ทำให้ตลอด 10 ปีที่ผ่านมายังไม่สามารถเอาชนะใจดาราได้ เมื่อสบโอกาสรู้ว่าอาจารย์ดาราจะมาปักหลักทำงานที่ศรีสัชนาลัยจึงทำเรื่องขอย้ายตามมา เพื่อจะได้อยู่ใกล้ๆ นั่นเอง ขุนเดชถามอาจารย์ดาราถึงลุงเถิน ดาราบอกพ่อเสียไปเมื่อ 3 ปีก่อน ขุนเดชเสียใจที่ไม่ได้ไปเคารพศพ ดาราจึงชวนขุนเดชไปทำบุญ ทำสังฆทานให้พ่อ แต่ระหว่างที่ทำบุญที่วัด อาจารย์ดาราเจอบัวทอง ดาราสังเกตเห็นท่าทีบัวทองที่สนิทสนมกับขุนเดช ก็เดาออกว่าขุนเดชกับบัวทองน่าจะมีใจให้กัน และทำใจยอมรับว่าขุนเดชไม่เคยมองเธอในฐานะคนรักเลยสักครั้ง อาจารย์ดาราจึงยับยั่งชั่งใจและเริ่มเปิดใจให้กับหมวดยงยุทธ ระหว่างนั้นกำนันบุญและลูกชายชื่อ สัมฤทธิ์ (พิชยดนย์ พึ่งพันธ์) ซึ่งมีนิสัยไม่ต่างจากพ่อทั้งขี้โกง เจ้าชู้ และชอบเก็บสะสมวัตถุโบราณโดยเฉพาะพระเครื่อง พระผงที่อยู่ในกรุเจดีย์ สองพ่อลูกคิดแผนชั่วจะขโมยวัตถุโบราณและตัดเศียรพระ แต่หาคนฝีมือดีไม่ได้ เพราะลูกน้องที่ใช้ไปก็ถูกขุนเดชจัดการเกือบหมด จึงนึกถึงนายเปรื่อง อยุธยา หรือฉายา เปรื่อง เสียงแปล่ง โจรมืออาชีพลักลอบขุดเจาะขโมยพระทำมาทั่วทุกสารทิศ เปรื่องเข้ามาหาข้อมูลเกี่ยวกับพระองค์ใหญ่ที่ร้านกาแฟนายฮวด ขุนเดชสงสัยในตัวเปรื่อง จึงแอบตามไปพบเปรื่องกำลังขโมยตัดเศียรพระองค์ใหญ่ ขุนเดชจึงเข้าไปจัดการ ทั้งคู่ต่อสู้กัน เปรื่องล้มไปใส่องค์พระ เศียรพระที่เปรื่องเจาะไว้จึงตกลงมาทับร่างเปรื่องเสียชีวิต แต่กระนั้นโจรชั่วหนักแผ่นดินก็ยังไม่หมดไป ยังมีสองพ่อลูก ผู้ใหญ่น่วม กับลูกชายชื่อ น้ำ ที่มีนิสัยนักเลงอันธพาล คบโจร โกงการพนัน ฉุดผู้หญิง ชอบขโมยขุดพระขุดเจดีย์ รู้มาว่า เจดีย์บนเขามีสมบัติและกรุพระเก่าอยู่ จึงขึ้นเขาไประเบิดเจดีย์เพื่อขโมยพระในกรุ แต่ก็ถูกขุนเดชตามฆ่าใช้ไม้ตะพดที่ทำขึ้นมาเลียนแบบเหมือนของพ่อ แต่ถูกดัดแปลงซ่อนดาบของลุงเถินไว้ข้างใน เพื่อใช้ต่อสู้กับพวกคนเลวทั้งสองคน แล้วขุนเดชก็ใช้เชือกรัดคอน้ำโหนกับต้นไม้ตายแล้วนำศพมาประจาน เหตุการณ์ของโจรขโมยพระถูกฆ่าตายหลายคน ทำให้หมวดยงยุทธสงสัยและเริ่มสืบหาฝีมือของฆาตกรรายนี้ แต่หมวดยงยุทธก็จนปัญญา จนเมื่อผลการพิสูจน์หลักฐานแน่ชัดว่าของแข็งที่ใช้ทำร้ายพวกคนร้ายมีลักษณะตรงกับไม้ตะพดของขุนเดช หมวดยงยุทธจึงมั่นใจว่าเป็นฝีมือของขุนเดช ซึ่งตั้งศาลเตี้ยลงทัณฑ์พวกโจรใจบาป โดยไม่สนใจกฎหมาย ทำให้หมวดยงยุทธไม่พอใจและคอยจับผิด หมวดยงยุทธพูดให้จ่าแท่นเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นฝีมือขุนเดช และกล่าวว่าขุนเดชเป็นวีรบุรุษบาป ให้จ่าแท่นช่วยหาหลักฐานมัดตัวขุนเดชแม้ว่าขุนเดชจะเป็นเพื่อนเก่าแก่ แต่กฏหมายก็ต้องศักดิ์สิทธิ์เมื่ออยู่ในมือผู้พิทักสันติราษฎร์ หลังจากกำนันบุญทำงานไม่สำเร็จ ไม่มีสมบัติโบราณส่งไปให้ตามใบสั่งจากกรุงเทพฯ เพราะถูกขัดขวางจากขุนเดช ทำให้ ท่านรัฐมนตรีปราชญ์ ผู้ชื่นชอบในวัตถุโบราณ และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังใบสั่งที่ส่งไปให้กำนันบุญจัดหามาให้เริ่มไม่พอใจ แต่ด้วยความที่เป็นถึงรัฐมนตรีจึงไม่สามารถออกหน้าได้ รัฐมนตรีปราชญ์จึงเรียกประดับ ทนายความและเลขาประจำตัวมาจัดการทุกอย่างให้ได้ตามประสงค์ เมื่อ 10 ปีที่แล้วหลังจากที่ประดับหนีภัยการเมืองไปอยู่เมืองนอก ประดับเรียนจบกฏหมาย กลับมาทำงานเป็นทนายและเลขาส่วนตัวให้ท่านรัฐมนตรี เพราะมีจุดประสงค์ที่จะก้าวขึ้นสู่อำนาจอีกครั้ง หลังจากที่พ่อต้องตายอยู่ที่เมืองนอก ประดับจึงยอมให้ท่านรัฐมนตรีโขกสับ โดยในระหว่างนั้นก็วางแผนตีสนิทกับปารมี (ขวัญกวินท์ ธำรงรัฐเศรษฐ์) ลูกสาวคนสวยวัยเพียง 16 ของท่านรัฐมนตรีเพื่อใช้เป็นสะพานให้ตัวเองยกฐานะเป็นลูกเขย ซึ่งแผนการของประดับก็ดูสดใส เพราะปารมีเป็นเด็กแก่แดด ชอบช้อบปิ้ง และชอบหนุ่มหล่อ ซึ่งประดับก็เรียกความสนใจได้ไม่น้อยทีเดียว แต่ประดับต้องทำอย่างลับๆไม่ให้ท่านรัฐมนตรีรู้ ท่านรัฐมนตรีมีใบสั่งให้ประดับไปจัดการหามาให้ได้ ประดับรู้จักแจ็ค ฝรั่งพูดไทยคล่อง พ่อค้าวัตถุโบราณที่กรุงเทพฯ เดินทางมาขโมยวัตถุโบราณด้วยตนเอง โดยให้กำนันบุญคอยช่วยเหลือ แจ๊คระเบิดเจดีย์ แล้วใช้รถพังวัตถุโบราณต่างๆ เป็นหน้ากอง โดยไม่กลัวความผิด เพราะถือว่ามีเส้นใหญ่เป็นถึงรัฐมนตรี ขุนเดชรู้เรื่องจึงไปจัดการฆ่า โดยการแขวนคอแจ๊คหน้าเจดีย์ การตายของแจ็คทำให้ประดับโดนท่านรัฐมนตรีเรียกไปด่า ประดับต้องอาศัยอำนาจท่านรัฐมนตรีกดดันตำรวจในพื้นที่ให้เร่งมือจัดการตามล่าตัวฆาตกรที่ลอยนวลอยู่นั่นเอง ที่ทำให้ประดับได้เจอกับหมวดยงยุทธ ดารา และขุนเดช ประดับแสดงท่าทางเจ้าชู้กับดาราเหมือนเมื่อก่อน แต่คราวนี้ประดับโดนหมวดยงยุทธขู่จะเล่นงาน ถ้ามายุ่งกับดาราอีก ประดับเลยขู่กลับว่าจะอยู่ในหน้าที่ตำรวจอีกไม่นาน เมื่อไหร่ที่เขามีอำนาจ ทั้งสามต้องโดนแก้แค้นชนิดหาแผ่นดินยืนไม่มี แต่ประดับก็ต้องรีบกลับกรุงเทพฯ เพราะท่านรัฐมนตรีเรียกกลับด่วน ซึ่งเรื่องด่วนนั่นก็คือท่านรัฐมนตรีจับได้ว่าประดับกับปารมีแอบลักลอบมีความสัมพันธ์กันจนปารมีตั้งท้อง ประดับโดนท่านรัฐมนตรีเรียกคนมาซ้อมเพราะไม่พอใจ แต่ท่านรัฐมนตรีก็ไม่กล้าเอาเรื่องประดับถึงโรงพักฐานพรากผู้เยาว์ เพราะกลัวเป็นข่าวฉาวโฉ่ ปารมีก็มาอ้อนวอนพ่อขอร้องให้ไว้ชีวิตประดับ เพราะรักกันจริงๆ และให้เห็นแก่ลูกในท้อง ท่านรัฐมนตรีทำอะไรไม่ได้จำเป็นต้องเลื่อนฐานะประดับให้ขึ้นมาเป็นลูกเขย ซึ่งก็สมใจประดับทันที กำนันบุญเริ่มหงุดหงิดหัวเสียไม่รู้จะไปพึ่งใครให้ทำงานให้ ทำให้รู้สึกขวางหูขวางตา ลงไม้ลงมือกับทุกคนไปหมด ไม่เว้นแม้แต่ รำพัน (ปริษา ทนาวิวัฒน์) เมียใหม่ของกำนันและเป็นแม่เลี้ยงของสัมฤทธิ์ ก็โดนกำนันตบตีระบายอารมณ์ เพียงเพราะรำพันปล่อยให้ทิพย์ ลูกสาววัย 12 ที่เกิดกับกำนันบุญซึ่งเป็นปัญญาอ่อนชอบฟ้อนรำรบกวนอารมณ์กำนัน จนกำนันคิดจะส่งทิพย์ให้ไปอยู่โรงพยาบาลบ้า แต่รำพันก็อ้อนวอนขอเลี้ยงไว้เพราะยังไงก็ลูก กำนันบุญนึกถึงเสือแชน ลูกน้องเก่าซึ่งเมื่อ 20 ปีที่แล้วเป็นผู้ลงมือฆ่าพ่อของขุนเดชให้กลับมาช่วยงานขโมยพระ เสือแชนไม่ชอบสะสมวัตถุโบราณ แต่ชอบสะสมอาวุธโบราณ เช่น มีด หอก ดาบ เมื่อตำรวจสืบทราบจึงส่งสายตำรวจชื่อ นายเหลืองไปตีสนิทโดยเอาดาบโบราณให้เสือแชนเพื่อสร้างความไว้วางใจ เหลืองบอกเสือแชนว่ายังมีอีกเยอะ เพราะรู้แหล่งที่ฝั่งสมบัติอยู่ในถ้ำบนเขา เสือแชนหลงกลเชื่อจึงตามเหลืองขึ้นไปในถ้ำ เมื่อสบโอกาส เหลืองผลักเสือแชนตกลงไปก้นถ้ำ แล้วออกมาตามหมวดยงยุทธกับจ่าแท่นซึ่งรออยู่ด้านนอกเพื่อรอจับ แต่ระหว่างนั้นขุนเดชซึ่งซ่อนตัวอยู่ในถ้ำได้โอกาสล้างแค้นให้พ่อ โดยปล่อยงูจงอางกัดเสือแชนแล้วใช้คมดาบฟันคอเสือแชนหลุดจากบ่า ตำรวจเข้ามาเจอแต่สภาพศพของเสือแชนที่ถูกฆ่าตายอย่างทารุณ สร้างความสงสัยให้หมวดยงยุทธ ว่าต้องเป็นฝีมือของขุนเดชแน่ๆ การตายของเสือแชนทำให้กำนันบุญแค้นใจมากสั่งคนไปลอบยิงขุนเดชขณะกำลังตกแต่งเจดีย์พุ่มข้าวบิณฑ์ ขุนเดชร่วงลงจากยอดเจดีย์แต่รอดตายเพราะตกลงมาในดงต้นพุทธรักษา ในขณะที่ขุนเดชถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล หมวดยงยุทธกับจ่าแท่นก็มาตรวจที่เกิดเหตุ จ่าแท่นเจอไม้ตะพดของขุนเดชตกอยู่จึงหยิบขึ้นมาดูพอขยับออกมาพบว่าข้างในถูกดัดแปลงเป็นดาบ จ่าแท่นตกใจมากหรือว่าที่หมวดยงยุทธสงสัยจะเป็นเรื่องจริง แต่พอหมวดยงยุทธเดินมา จ่าแท่นรีบเก็บดาบเข้าฝักแล้วทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น จ่าแท่นรีบตามไปที่ โรงพยาบาลแล้วฝากไม้ตะพดให้บัวทองเอาไปคืนขุนเดช โดยที่ยังเก็บเอาความสงสัยไว้กับตัว ด้านกำนันบุญพอรู้ว่าขุนเดชยังไม่ตายก็ปรึกษากับวงศ์ เจ้าของบ่อนพนัน ที่คอยสนับสนุนและทำงานให้กำนันบุญมาโดยตลอด โดยสั่งให้วงศ์รวบรวมลูกน้องไปก่อกวนสถานที่ต่างๆ จนสร้างความโกลาหล โดยเฉพาะกับกลุ่มนักศึกษาชายและหญิงของอาจารย์ดาราที่โดนพวกนักเลงบ่อนของวงศ์คุกคามความปลอดภัย บุกเข้าไปทำอนาจารนักศึกษาสาวๆ เมื่ออาจารย์ดาราจะเอาเรื่อง วงศ์ก็ใช้อิทธิพลของกำนันบุญเอาตัวรอดจากคุกจากตะรางได้ ทำให้อาจารย์ดาราไม่พอใจหมวดยงยุทธที่ปล่อยให้พวกนอกกฏหมายทำตามอำเภอใจ หมวดเองถูกผู้ใหญ่กดดันเรื่องฆาตกรฆ่าโจรก็หลุดปากสวนกลับเพราะไม่พอใจที่ถูกต่อว่า และคิดว่าดาราเห็นด้วยกับการกระทำของวีรบุรุษบาปที่พวกชาวบ้านยกย่องเชิดชู แต่สิ่งที่มันทำก็ไม่ต่างจากอาชญากรคนหนึ่ง !! วงศ์ย่ามใจทำเรื่องผิดกฎหมายโดยไม่เกรงกลัวเพราะถือว่ามีกำนันบุญและรัฐมนตรีหนุนหลังกำนันบุญช่วยอยู่ และเมื่อรู้ว่ามีสมบัติอยู่บนเขาจึงชวนนางหวาด ผู้เป็นเมียขึ้นไปขุดสมบัติ วงศ์ขุดเจอดาบทองคำ ส่วนหวาดเจอกำไลทองจึงดีใจมาก พอรุ่งเช้าวงศ์ถูกผีเข้าสิงเอาดาบทองคำไล่ฟันเมีย หวาดจึงต่อสู้แล้วใช้มีดฟันวงศ์จนตาย ส่วนตนเองพอฆ่าผัวตายจึงเป็นบ้า เอาดาบและกำไลทองคำหนีเข้าป่าหายสาบสูบไป สำหรับนายสัมฤทธิ์ลูกชายกำนันบุญ ซึ่งเคยเจอบัวทองในงานวัด จึงถูกตาต้องใจในความสวยของบัวทอง สัมฤทธิ์ตามจีบและเอาของมีค่ามาให้บัวทองเพื่อหวังจะชนะใจ แต่บัวทองไม่เล่นด้วยแถมยังเกลียดเข้าไส้ สัมฤทธิ์จึงทำทุกวิถีทางเพื่อให้บัวทองมาเป็นเมียแต่ไม่สำเร็จ จึงคิดแผนชั่วให้ลูกน้องและจำเริญ คนงานเก่าของขุนเดชมาฉุดบัวทองไปที่กระท่อมร้าง บัวทองเกือบตกเป็นของสัมฤทธิ์ ดีที่นางหวาดโผล่มา อาละวาดเอาดาบไล่ฟันสัมฤทธิ์ บัวทองจึงหนีไปได้ สัมฤทธิ์โกรธมากยิงนางหวาดตาย พอตำรวจรู้เรื่องจาก หมอน้อย (ตฤณ เศรษฐโชค) หมอประจำหมู่บ้านที่เป็นที่เคารพของทุกคน ซึ่งเห็นเหตุการณ์บัวทองถูกฉุดและมาแจ้งความให้ตำรวจไปช่วยบัวทอง จ่าแท่นจึงนำกำลังมาช่วยหลาน จำเริญซึ่งคอยดูต้นทางได้ยินลูกน้องสัมฤทธิ์คุยกันว่า บัวทองเป็นแฟนขุนเดชก็ตกใจมาก เพราะไม่เคยรู้มาก่อนว่าบัวทองเป็นแฟนขุนเดช หัวหน้าเก่า สาเหตุที่จำเริญยอมทำชั่วช่วยสัมฤทธิ์เพราะอยากได้เงินไปให้แม่ที่กำลังป่วยและบวชทดแทนบุญคุณให้แม่ แต่พอรู้ว่าบัวทองเป็นแฟนขุนเดช จำเริญกลัวจึงหนีไป ส่วนสัมฤทธิ์เกือบโดนตำรวจจับ แต่ได้เจอเสือเพิก เพื่อนเก่ากำนันบุญมาช่วยไว้ แล้วพาไปอยู่ที่ซุ้มโจรด้วยกันช่วยกันออกปล้นฆ่าชาวบ้าน แต่สัมฤทธิ์คิดชั่วอยากได้ลูกน้องของ เสือเพิกมาเป็นของตัวเองจึงหักหลังฆ่าเสือเพิกแล้วตั้งตัวเป็นหัวหน้าโจรเอง หลังจากที่จำเริญกับพวกคนอื่นๆ หนีตำรวจมาได้ก็ถูกขุนเดชไล่ล่าฆ่าตายทีละคน เหลือแต่จำเริญที่หนีมาบวชเพื่อทดแทนคุณแม่ เพราะกลับตัวกลับใจสำนึกผิด หวังว่าการบวชครั้งนี้นอกจากทดแทนบุญคุญแม่แล้วยังจะช่วยลบล้างความผิดที่ทำมา ขุนเดชตามมางานบวชจำเริญ โดยมีหมวดยงยุทธกับจ่าแท่นแอบตามมาดูขุนเดชว่าจะฆ่าจำเริญหรือไม่ แต่เมื่อขุนเดชเจอจำเริญในผ้าเหลืองจึงอโหสิกรรมทุกอย่าง จ่าแท่นจึงรู้สึกโล่งใจที่ขุนเดชไม่ทำอะไรวู่ว่ามลงไป คำว่าอโหสิกรรมที่ขุนเดชกล่าวต่อหน้าพระจำเริญทำให้ขุนเดชคิดได้ และการดูแลเอาใจใส่ของบัวทองระหว่างที่ขุนเดชพักรักษาตัวตอนถูกยิง ก็ทำให้หัวใจขุนเดชที่เคยตั้งใจไว้ว่าจะไม่มีความรักให้ใครก็เริ่มอ่อนลง เมื่อรู้ข่าวเรื่องโจรขโมยพระ ขุนเดชก็พยายามถอยและไม่ลงมือเอง แต่ส่งเบาะแสให้ตำรวจจัดการ จนกระทั่งมีชายเชื้อสายจีน ไว้ผมเปียยาว ขายของเด็กเล่นอาศัยอยู่บนเรือชาวบ้าน เรียกเค้าว่า จีนเปีย เข้ามาในศรีสัชนาลัย ขุนเดชสงสัยในท่าทีมีพิรุธ จึงสืบจนรู้ว่าเป็นพวกขโมยพระแล้วนำพระมาซ่อนบนเรือ ขุนเดชจึงให้เบาะแสกับตำรวจ จนตำรวจสามารถจับจีนเปียไว้ได้ จีนเปียวางแผนแหกคุกโดยโกหกว่าหิวน้ำ พอตำรวจเผลอจึงเอามีดเล็กที่ซ่อนอยู่ที่ผมเปียปาดคอตำรวจตาย แล้วหลบหนีไป ตำรวจพยายามไล่ล่าจีนเปีย แต่จีนเปียก็หนีไปได้ ขุนเดชจึงต้องออกโรงจัดการฆ่าจีนเปีย แล้วนำศพมาส่งให้ที่สถานีตำรวจ หลังจากที่สัมฤทธิ์เป็นหัวหน้าโจรปล้นฆ่าชาวบ้าน จนถูกทางการกดดันตามล่าตัว สัมฤทธิ์จึงหนีกลับมากบดานที่บ้านกำนันบุญที่ใช้อิทธิพลของตัวเองซ่อนลูกชายไว้ ทางฟากรัฐมนตรีปราชญ์ที่พยายามปกปิดเรื่องลูกสาวท้องโตในวัยเรียนมาตลอด เรื่องก็กลับมาอื้อฉาว เพราะประดับทะเลาะกับปารมีอย่างรุนแรงเรื่องที่เขาคิดใช้เธอเป็นเครื่องมือเข้ามาเป็นลูกเขยรัฐมนตรีเท่านั้น ปารมีน้อยใจขับรถไปชนแม่ค้าข้างถนนตาย กลายเป็นข่าวครึกโครม ชื่อเสียงรัฐมนตรีปราชญ์เสียหายหนัก จนมีข่าวแว่วมาว่ามีสิทธิ์ถูกถอดถอน ประดับกลัวว่าตัวเองจะเสียโอกาสถ้าไม่มีพ่อตาเป็นรัฐมนตรี จึงอาสาจะทำทุกอย่างไม่ให้รัฐมนตรีปราชญ์หลุดจากเก้าอี้ รัฐมนตรีรู้มาว่าถ้าสามารถหาเครื่องชามสังคโลกโบราณที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์มาเป็นสินบนให้ผู้ใหญ่ในพรรค เก้าอี้ของตัวเองก็จะไม่หลุด เพราะเครื่องชามสังคโลกที่ยังสมบูรณ์และงดงามไร้ที่ติไม่ใช่ของหาง่าย เท่าที่มีอยู่ก็มีแต่ในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติเท่านั้น ประดับอาสาจะจัดการเรื่องนี้ เพราะก่อนหน้านี้ได้ข่าวจากกำนันบุญว่ามีการค้นพบเครื่องชามสังคโลกในสภาพสมบูรณ์ที่ศรีสัชนาลัย ประดับเดินทางมาหากำนันบุญ ซึ่งยืนยันเรื่องเครื่องชามสังคโลกว่ามีการค้นพบจริงๆ โดยรู้มาจากลูกน้องที่เคยแอบเข้าไปลักขุดขโมยของโบราณในที่ดินหมอน้อย และรู้ว่าหมอน้อยมีเครื่องชามสังคโลกโบราณอยู่ กำนันบุญจึงไปทาบทามขอซื้อแต่ถูกหมอปฏิเสธ หมอน้อยได้บริจาคที่ดินรวมถึงเครื่องชามสังคโลกให้ทางการหมดแล้วเพื่อเป็นประโยชน์แก่แผ่นดิน กำนันบุญโกรธมากให้สัมฤทธิ์พาลูกน้องปล้นบ้านหมอน้อย สัมฤทธิ์ฆ่าหมอน้อย เมียและลูก รวมถึง นายชื่น คนงานเฝ้าไร่ตายทั้งบ้าน โชคดี ที่นายชื่นแค่บาดเจ็บ จึงมาบอกเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าพวกสัมฤทธิ์ฆ่าหมอน้อยและครอบครัว หมวดยงยุทธบุกไปจับสัมฤทธิ์ที่บ้านกำนันบุญ เพราะรำพันแอบส่งข่าวให้ตำรวจรู้ว่าสัมฤทธิ์กบดานอยู่ที่บ้าน สัมฤทธิ์รอดไปได้ โดยพ่อส่งไปกบดานกับ นายซ้อน ลูกน้องเก่าที่ทำไร่อยู่เขาพนมเพลิง ส่วนรำพันถูกกำนันบุญตบตีทำร้ายจะเอาถึงตาย ทิพย์ร้องไห้กระจองอแง เข้าไปกอดไม่ให้พ่อทำร้ายแม่ กำนันโกรธลูกสาวปัญญาอ่อนและทนรำคาญไม่ไหว เลยจับตัวจะไปส่งโรงพยาบาลบ้า แต่ระหว่างนั้น ทิพย์สะบัดตัวหนี กำนันบุญพลาดตกบันไดลงมาหมดสติ ในระหว่างที่หมดสติ กำนันบุญฝันเห็นภาพในอดีตของตัวเองที่เคยลักตัดเศียรพระ และเจองูเห่านับสิบตัวเลื้อยปกป้ององค์พระ พวกลูกน้องพากันกลัวว่าเป็นงูเจ้าไม่ควรไปยุ่งหรือทำร้ายไม่อย่างนั้นบาปจะติดตัว แต่กำนันไม่เกรงกลัวเอาถังน้ำมันราดแล้วจุดไฟเผาฆ่างูเจ้าตายเกลี้ยง หลังจากนั้นไม่นานรำพันก็คลอดทิพย์ที่ตอนเกิดมีเกล็ดตามตัวเหมือนเกล็ดงู และเมื่อโตขึ้นทิพย์ก็มีอาการปัญญาอ่อนไม่สมประกอบ เมื่อกำนันฟื้นขึ้นก็พบว่ารำพันพาทิพย์หนีไปแล้ว ส่วนตัวเขาลุกไม่ขึ้น เพราะแข้งขาไม่มีเรี่ยวมีแรงจะขยับไปไหนก็ต้องใช้วิธีเลื้อยเอาคล้ายงูที่ต้องเลื้อยไปมา หมอบอกว่าที่กำนันบุญเป็นอย่างนี้มาจากการตกบันไดทำให้เส้นประสาทที่ขาเสียหาย กำนันบุญกังวลและคิดถึงบาปกรรมที่เคยทำไว้ในอดีต ประดับมาหากำนันบุญเพื่อขอเอาชามสังคโลกที่ได้มาจากหมอน้อย กำนันบุญยื่นข้อเสนอเพิ่มเติมนอกจากเงิน ขอให้ท่านรัฐมนตรีช่วยลูกชายให้พ้นคดี และหาหมอเก่งๆ มารักษาให้กลับมาเดินได้อีกครั้ง เพราะกลัวว่าถ้าขุนเดชรู้ว่าตัวเขาพิการ มันต้องมาแก้แค้นที่เคยไปฆ่าพ่อมันแน่ๆ ประดับเลยได้รู้ว่าขุนเดชศัตรูในอดีตที่เคยฝากความแค้นกันไว้ ตอนนี้มันตามรังควาญเขาไม่หยุด ประดับคิดแผนบางอย่างจัดการกับขุนเดชเพื่อสางความแค้น เลยทำเป็นรับปากกำนันบุญว่าจะจัดการตามที่ต้องการทุกอย่าง แต่พอลงจากเรือนกำนันบุญได้ไม่นาน ประดับก็สั่งลูกน้องให้เผาบ้านกำนันบุญ ทรัพย์สมบัติของกำนันบุญก็สั่งให้คนขนออกมาจนเกลี้ยง ลูกน้องคนไหนไม่ยอมแปรพักต์ก็จัดการฆ่าตายให้หมด แล้วใช้เลือดเขียนบนผนังเรือนว่านี่คือการแก้แค้นของขุนเดช การตายของหมอน้อยพร้อมครอบครัว สร้างความเสียใจให้ทุกคนในศรีสัชนาลัยที่ต้องสิ้นคนดี ขุนเดชรักและเคารพหมอน้อยเหมือนญาติผู้ใหญ่ จึงโกรธแค้นอย่างมากและคิดแก้แค้นให้หมอน้อย นายซ้อนซึ่งให้ที่พักสัมฤทธิ์แอบมาพบขุนเดชเพื่อส่งข่าวเรื่องสัมฤทธิ์ ถึงนายซ้อนจะเคยเป็นลูกน้องกำนันบุญ แต่ตอนนี้ก็กลับตัวแล้ว จึงขอให้ขุนเดชไปจัดการสัมฤทธิ์ที่เขาพนมเพลิง ขุนเดชตามไปฆ่าโดยขุดหลุมพราง ให้สัมฤทธิ์ตกไปในหลุมแล้วใช้น้ำมันราดเผาสัมฤทธิ์ทั้งเป็น และยืนดูมันตายอย่างทรมานให้สาสมกับความผิดที่เคยทำ หมวดยงยุทธตามมาพบขุนเดชฆ่านายสัมฤทธิ์ซึ่งเป็นหลักฐานคาตา ยงยุทธขอให้ขุนเดชมอบตัว เพราะตอนนี้ขุนเดชกลายเป็นอาชญากรที่ตำรวจต้องการ หลังจากไปปล้นเผาบ้านกำนันบุญ ขุนเดชปฏิเสธไม่ได้เป็นคนปล้นบ้านกำนันบุญ หมวดยงยุทธและจ่าแท่นเชื่อว่าขุนเดชไม่ได้ทำและโดนใส่ร้าย จึงขอร้องให้ขุนเดชมอบตัว เพื่อพิสูจน์ความจริงกับศาล แต่ขุนเดชไม่ยอมมอบตัวและเข้าต่อสู้กับหมวดยงยุทธจนหนีไปได้ ที่จริงแล้วกำนันบุญยังไม่ตายแต่ถูกประดับจับตัวไว้เพื่อเรียกให้ขุนเดชมาจัดการ โดย ประดับซ้อนแผนให้ตำรวจมาพบตอนที่ขุนเดชฆ่ากำนันบุญ ประดับส่งข่าวกำนันบุญให้ขุนเดชรู้ผ่านทางดารา ว่ากำนันบุญอยู่ที่ถ้ำ พระศิลาบนเขาหลวง ที่ๆ พ่อขุนเดชถูกฆ่าตาย อาจารย์ดาราเตือนขุนเดชไม่ให้ไป ตกหลุมพรางของประดับ และอาจารย์ประทีปก็เอาคำพูดของหลวงพ่อสุขที่เคยเตือนเอาไว้พูดให้ขุนเดชรู้ แต่ขุนเดชยืนยันว่าเขาเกิดมาเพื่อปกป้องสมบัติของชาติ เขาคือ ทหารของพระร่วง ขุนเดชเดินทางไปที่ถ้ำศิลา และได้พบกำนันบุญในสภาพนั่งรถเข็นน่าเวทนา กำนันบุญขอร้องให้ไว้ชีวิตอ้างว่าตอนนี้ ตัวเองไม่เหลือ อะไรอีกแล้ว ได้รับกรรมที่เคยทำไว้แล้วอยากให้ขุนเดชอโหสิให้ ขุนเดชลังเลใจ นึกถึงคำพูดของ หลวงพ่อสุข ที่อาจารย์ประทีปบอกไว้และคำสัญญากับบัวทองว่าจะใช้ชีวิตด้วยกันอย่างสงบ ขุนเดชคิดจะอโหสิ ให้กำนันบุญ แต่กลับถูกกำนันยิงเข้ากลางอกด้วยปืนที่ซุกไว้ในรถเข็น ขุนเดชทรุดฮวบหายใจรวยริน เจ็บใจที่โดนกำนันหลอก ประดับโผล่เข้ามาหัวเราะสะใจที่ขุนเดชโดนเล่นงาน กำนันอ้างว่าประดับสั่งให้ทำ ประดับเข้ามาจิกหัวขุนเดช สมเพชเวทนา อยากเห็นขุนเดชตายต่อหน้าต่อตา เพราะถ้าขืนปล่อยให้ ตำรวจ ได้ตัวไป วันนึงขุนเดชก็ต้องพ้นโทษออกมาอีก ประดับทิ้งขุนเดชไว้ในถ้ำกับกำนันบุญ ขุนเดชเกือบจะตายอยู่ แล้วแต่ด้วยคำพูดของพ่อที่พูดถึงพระขพุงผี ผีเทวดาที่ยิ่งใหญ่กว่าเทวดาใดๆบนเขาหลวง ขุนเดชก็ฮึดลุกขึ้นมา กำนันบุญจะยิงขุนเดชซ้ำ แต่ขุนเดชก็ฟันฉับเข้าที่คอ กำนันบุญคอขาดกระเด็นสาสมกับกรรมที่ทำไว้ หมวดยงยุทธกับจ่าแท่นและกำลังตำรวจตามมาที่เขาหลวงเพื่อต้องการระงับเหตุและจับตัว ขุนเดช บัวทองกับอาจารย์ดาราตามจ่าแท่นมาด้วยเพราะเป็นห่วงขุนเดช แต่หมวดยงยุทธสั่งห้ามไม่ให้ขึ้นไป ที่เขาหลวง อาจารย์ดาราขอร้องหมวดยงยุทธให้ปล่อยขุนเดชไป แต่หมวดยงยุทธยืนยันว่าเขาต้องทำทุกอย่าง ตามความถูกต้อง เพราะถ้าเขาทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ชาตินี้เขาคงทนมองหน้าใครไม่ได้อีก และอาจารย์ดาราก็คง จะภูมิใจในตัวเขาไม่ได้ ดาราน้ำตารื้นยอมเข้าใจว่าหมวดยงยุทธจำเป็น จึงยอมอยู่กับบัวทองที่ตีนเขาหลวง ขุนเดชในสภาพที่บาดเจ็บหนักไล่ล่าตามหาตัวประดับในป่าบนเขาหลวง ประดับคิดว่า ตัวเองน่าจะหาทางออกได้แต่เกิดเรื่องอัศจรรย์ เมื่อทางออกที่เคยเดินไม่เหมือนเดิม ประดับเริ่มเดินวนเวียน อยู่ในป่าจนหลงทาง และได้ยินเสียงหวีดร้องน่ากลัวไปทั่วป่า ประดับยิงปืนไปทั่วเพราะคิดว่าเป็นฝีมือ ขุนเดช แต่ภาพที่ประดับเห็นกลับเป็นภาพนักรบโบราณเดินไปเดินมารอบตัว และหนึ่งในกลุ่ม นักรบโบราณ ก็คือขุนเดชที่ยืนจังก้า ในมือถือไม้ตะพดที่ชักออกมาเป็นดาบคมกริบ ขุนเดชตวัดดาบเข้าสู้กับประดับ และใช้มันเสียบทะลุหัวใจประดับจนตายคาที่ จ่าแท่นกับหมวดยงยุทธตามมาพบขุนเดชในสภาพหายใจรวยริน ขุนเดชบอกหมวดยงยุทธว่าเสียใจที่ให้หมวดจับเข้าคุกไม่ได้ เพราะคงสิ้นลมหายใจอยู่ที่เขาหลวงแห่งนี้ ขุนเดชขอร้องหมวดยงยุทธว่าปล่อยให้เขาตายที่นี่ จะได้เป็นผีเฝ้าสมบัติของบรรพบุรุษจากพวกใจบาป ขุนเดชแน่นิ่งไปต่อหน้าต่อตาหมวดยงยุทธ รัฐมนตรีปราชญ์มาที่สุโขทัยเพื่อรับถ้วยชามสังคโลกที่ประดับเก็บไว้ให้ เมื่อนักข่าวถามถึงเรื่องของประดับที่ไปเกี่ยวข้องกับพวกค้าวัตถุโบราณ ท่านรัฐมนตรีด่าประดับว่าเป็นพวกสารเลวและเพิ่งรู้เห็นความเลวของมันเหมือนกัน สาสมที่มันตายซะได้แถมยังรับปากกับประชาชนว่าจะกวาดล้างพวกขายสมบัติชาติให้สิ้นซาก แต่ครั้นเมื่อท่านรัฐมนตรีกลับมาถึงบ้านก็ต้องพบกับภาพอันบาดสะเทือนหัวใจ เมื่อปารมีลูกสาวของตัวเองกินยาขับเลือดนอนแท้งลูก ตกเลือดตายอยู่บนเตียง หมวดยงยุทธกับจ่าแท่นและชาวบ้านร่วมกันจัดงานเผาศพให้ขุนเดช ทุกคนมาร่วมงานศพ บัวทองยืนร้องไห้เสียใจ แค้นที่คนดีๆ อย่างขุนเดชต้องมาตายเพราะฝีมือคนชั่ว บัวทองเสียใจมากจึงได้เดินหลบออกไป จ่าแท่นเดินตามมาแล้วเล่าความจริงให้บัวทองฟังว่า ขุนเดชยังไม่ตาย ตอนนี้หลบพักรักษาตัวอยู่ และเป็นความตั้งใจของหมวดยงยุทธที่จะให้ทุกคนเข้าใจว่าวีรบุรุษบาปอย่างขุนเดชตายจากไปแล้ว บัวทองดีใจเมื่อรู้ดังนั้นจึงพาแม่ไปอาศัยอยู่กับขุนเดชไปปลูกไร่ ไถ่นาอยู่กันตามประสาอย่างมีความสุข โดยที่ไม่มีผู้ใดรู้ว่าขุนเดชยังมีชีวิตอยู่ ส่วนหมวดยงยุทธได้เลื่อนยศขึ้นเป็นผู้การที่จังหวัดสุโขทัยและแต่งงานกับอาจารย์ดารา ทุกๆ วันหมวดยงยุทธมักจะยืนมองโบราณสถานที่ยังทรงคุณค่า และนึกขอบใจขุนเดชที่เสียสละตัวเองเพื่อปกป้องสมบัติและภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ ให้อยู่สืบไป..... ออกอากาศ ละครหลังข่าว พุธ - พฤหัสบดี 20.25 น. ทางช่อง 7 สี บทประพันธ์ สุจิตต์ วงศ์เทศ บทโทรทัศน์ ศุภชัย สิทธิอำพรพรรณ กำกับการแสดง" สยาม น่วมเศรษฐี ผู้ผลิต พอดีคำ จำกัด นักแสดง วีรภาพ สุภาพไพบูลย์ >>> ขุนเดช อัษฎาพร สิริวัฒน์ธนกุล >>> บัวทอง ศุกลวัฒน์ คณารศ >>> ร.ต.ท.ยงยุทธ อคัมย์สิริ สุวรรณศุข >>> อาจารย์ดารา ณัฐวัฒน์ เปล่งศิริวัธน์ >>> ประดับ วันชัย เผ่าวิบูลย์ >>> อาจารย์ประทีป วินัย ไกลบุตร >>> นายเดื่อง รชยา รักกสิกรณ์ >>> คำปัน สุรวุฑ ไหมกัน >>> กำนันบุญ สุโขทัย พิชยดนย์ พึ่งพันธ์ >>> สัมฤทธิ์ อุษณีย์ วัฒฐานะ >>> คำผกา ภารดี อยู่ผาสุข >>> คุณหญิง ขวัญกวินท์ ธำรงรัฐเศรษฐ์ >>> ปารมี วีระชัย หัตถโกวิท >>> จ่าแท่น ตฤณ เศรษฐโชค >>> อาหมอน้อย น้ำทิพย์ เสียมทอง >>> มะลิ ประถมาภรณ์ รัตนภักดี >>> สาลี่ ปริษา ทนาวิวัฒน์ >>> รำพัน
Read more »

 
Powered by MBA